บทที่ 490 หนาวสั่นไปทั้งตัว
หันตัวกลับ หานมู่จื่อเทโจ๊กลงในชามแล้วนำไปวางไว้ตรงหน้าเขา
“อาหารเย็นของนาย”
เดิมทีเย่โม่เซินได้เตรียมท้องให้ว่างเพื่อรออาหารที่เธอทำ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงแค่โจ๊กเปล่าหนึ่งชามจึงทำให้บางครั้งก็รู้สึกน้อยใจ “แค่นี้หรือ”
หานมู่จื่อยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่โอเคหรือ ตอนนี้นายบาดเจ็บขนาดนี้ กินได้แต่อาหารอ่อนเบาๆเท่านั้น มีโจ๊กเปล่าๆกินก็ใช้ได้แล้ว”
ได้ฟังดังนั้น เย่โม่เซินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เมื่อคืนนี้จำได้ว่าคุณไม่ได้เอามาแค่โจ๊กเปล่านะ”
“เมื่อวานก็คือเมื่อวาน วันนี้ก็คือวันนี้ จะเอามาปนเปกันได้อย่างไร” พูดจบ หานมู่จื่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง การกระทำต่างๆดูอึดอัดไม่พอใจ
เย่โม่เซินชำเลืองมองเธอ จากนั้นก็มองไปยังโจ๊กเปล่าในชาม แล้วยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้อยู่ในใจ
ดูเหมือนว่า ผู้หญิงคนนี้คงจะทำโจ๊กเปล่ามาให้เขาทานจริง ๆ
“โจ๊กนี่เธอเป็นคนทำเองหรือ” เขาถาม
หานมู่จื่อพูดออกไปอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ ซื้อมาจากข้างทาง”
จะเป็นไปได้อย่างไร เย่โม่เซินไม่ใช่ว่าจะดูไม่ออก โจ๊กที่ซื้อตามข้างทาง สีของเมล็ดข้าวและรสชาติไม่เหมือนแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้จงใจที่จะแข็งกระด้างกับเขา
เพราะอะไรหรือ
หรือเป็นเพราะการจูบเมื่อกี้นี้
เหอ ริมฝีปากของเย่โม่เซินแฝงด้วยรอยยิ้ม ถือชามด้วยมือข้างหนึ่งแล้วนำโจ๊กเข้าปาก แม้ว่าจะเป็นโจ๊กเปล่า แต่เขากลับรู้สึกดื่มด่ำกับรสชาติ
อย่างน้อย ผู้หญิงคนนี้ก็เข้าครัวเพื่อเขาด้วยตนเอง และยังได้จัดส่งด้วยตนเองอีก
น้ำใจนี้ ก็เพียงพอแล้ว
หานมู่จื่อนั่งลงด้านข้าง เห็นเย่โม่เซินกำลังทานโจ๊กโดยไม่พูดอะไรสักคำ และยังไม่เหลือไว้สักหยด เธอเริ่มจะสงสัยอะไรในชีวิตนิดหน่อย
เพราะสำหรับตัวเธอเอง ถ้าให้เธอต้องกินโจ๊กเปล่าก็คงจะกินไม่ลง เธอคงจะต้องหาอะไรอย่างอื่นมาให้ช่วยในการกิน
เช่นอาหารเครื่องเคียงต่างๆ แต่เย่โม่เซินกลับ…
เดิมทีเย่โม่เซินก็ผอมอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาบาดเจ็บครั้งนี้ ทำให้เขายิ่งดูผอมลงอีกอย่างเห็นได้ชัด และเธอกลับให้เขากินเพียงโจ๊กเปล่าในตอนนี้อีก
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก กินโจ๊กนั้นจนหมด ทันใดนั้น หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปแล้ว
เขาได้รับบาดเจ็บเพราะเธอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ไอขึ้นเบาๆและลุกขึ้นยืน “นายต้องการกินผลไม้สักหน่อยไหม ฉันเพิ่งจะซื้อมาเลย”
เขาซื้อผลไม้นิดหน่อยมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต
“ตอนนี้หรือ” เย่โม่เซินหรี่ตาลง หานมู่จื่อรู้ดีว่าเขาเพิ่งจะกินโจ๊กเสร็จ ตอนนี้ไม่เหมาะสมจริง ๆ อีกอย่างผลไม้มีฤทธิ์เย็น ดีที่สุดควรจะกินตอนกลางวัน
เธอมองออกไปด้วยความรำคาญนิดหน่อย ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเย่โม่เซินอีก
ในห้องผู้ป่วยได้ตกอยู่ในความเงียบสงัด หานมู่จื่อไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขา เย่โม่เซินนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
เธอหันกลับมามองเขา พบว่าเย่โม่เซินที่เคยดูสูงใหญ่ตระหง่าน ตอนนี้ดูเหมือนกับเด็กน้อย ดูแล้วน่าเอ็นดูสงสาร
หานมู่จื่อเม้มริมฝีปาก ละสายตากลับมาแล้วหลับตาลง
เธอจะใจอ่อนไม่ได้ จะรู้สึกสงสารเพราะเขาบาดเจ็บไม่ได้
เป็นเขาที่อาสาเอง ใช่…
อย่างนั้นแหละ
หานมู่จื่อนั่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปปิดประตูห้องผู้ป่วย หลังจากเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย ก็หาเตียงเล็ก ๆมานอนลงพักผ่อนที่ตรงนั้น อย่างไรก็ตามเธอก็คิดว่า เย่โม่เซินมีเก้าอี้ตัวนั้น คืนนี้ก็นอนคว่ำอยู่ตรงนั้นก็ได้แล้ว
และเธอก็ต้องการจะนอนเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้ พรุ่งนี้ต้องออกไปแต่เช้า
ใครจะรู้ว่าหลังจากนอนลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหายใจของเย่โม่เซิน
“ผู้หญิงโง่”
หานมู่จื่อ “……”
กำลังเรียกใครว่าผู้หญิงโง่
“คืนนี้คุณไม่มานอนเป็นเพื่อนผมแล้วหรือ” เย่โม่เซินถามอีกครั้ง
หานมู่จื่อหันศีรษะไป มองไปยังทิศทางของเย่โม่เซิน “นายพูดว่าอะไรนะ ใครจะนอนกับนาย”
“คุณไง” เมื่อเห็นว่าเธอจ้องมองมา เย่โม่เซินมุมปากของเย่โม่เซินปรากฏส่วนโค้งของรอยยิ้ม “เมื่อคืนคุณให้ผมยืมนอนบนขาไม่ใช่หรือ คืนนี้…”
คุณอย่าแม้แต่จะคิด ขาของฉันชามาทั้งวัน แทบจะเดินไปไหนไม่ได้ด้วยซ้ำ ตัวคุณก็เจ็บหลังไปแล้ว ยังอยากจะให้ฉันกลายเป็นคนพิการไปกับคุณหรือ” หานมู่จื่อพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มในดวงตาของเย่โม่เซินไม่ได้จางหายไป “แล้วยังไง ก็แค่นอนหนุนขา ชาก็ชาไม่นาน แบบนี้ไม่ได้หรือ”
“ฉันไม่ต้องการ วันนี้ฉันต้องการนอนตรงนี้” หานมู่จื่อชี้ไปยังเตียงเล็ก ๆของตนเอง จากนั้นชี้ไปยังเบาะด้านหน้าของเขา “อีกอย่างนายก็ให้คนมาทำเจ้านี่ให้นายแล้ว สะดวกกว่าขาของฉันตั้งเยอะ”
เย่โม่เซินมองไปยังเก้าอี้ตรงหน้าเขา จู่ ๆก็รู้สึกขัดตาขึ้นมา
แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบ เธอยินดีมานอนอยู่เป็นเพื่อนข้างเตียงก็ไม่เลวแล้ว เขาจะขอมากมายกว่านี้เพื่ออะไร
นอกจากนี้เมื่อคืนเธอก็ต้องมีอาการชาที่ขา วันนี้ให้เธอหลับพักผ่อนให้สบายดีกว่า
ในห้องผู้ป่วยก็เงียบลง
หานมู่จื่อเห็นว่าเขาหยุดพูดไป ก็คิดในใจว่าเขาคงจะนอนหลับแล้ว จากนั้นจึงเอนตัวนอนและหลับตาลง
คงจะเป็นเพราะนอนไปมากในตอนกลางวัน ช่วงเวลานี้จึงไม่รู้สึกง่วงเลย ความคิดในหัวเริ่มชัดเจนขึ้น และยิ่งมีสติมากขึ้น ยิ่งทำให้นึกถึงฝันร้ายเมื่อตอนบ่าย
หานมู่จื่อพลิกตัว เพียงแค่หันไปทิศทางประตูห้องผู้ป่วย
วินาทีต่อมา เธอกลับตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว
เป็นเพราะที่ประตูห้องผู้ป่วย มีคนยืนอยู่อย่างเห็นได้ชัด
และคนคนนั้น…
ดวงตาสองคู่ได้สบตากันในอากาศ หานมู่จื่อรู้สึกเยือกเย็นไปทั้งตัว
ซวา——
หลังจากคนคนนั้นได้เห็นดวงตาของเธอ ก็หายไปจากประตูห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อนอนอยู่ที่นั่นอย่างเย็นชา นิ่งเหมือนกับศพ หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…
หานมู่จื่อพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง ลงจากเตียงอย่างรวดเร็วและเดินไปที่ประตู
มือเพิ่งจะเปิดประตูห้องผู้ป่วย คำถามของเย่โม่เซินก็ดังมาจากด้านหลัง “คุณจะทำอะไร”
ได้ยินเสียงนั้น หานมู่จื่อก็รีบหันกลับมา พบว่าเย่โม่เซินกำลังจ้องมองเธออย่างแผ่วเบา
หานมู่จื่อ “คุณเห็นหรือเปล่า”
“อะไรหรือ” ดวงตาของเย่โม่เซิน เผยให้เห็นสีที่ไม่สามารถเข้าใจได้
“คุณไม่เห็นหรือ” หานมู่จื่อขมวดคิ้ว เดินออกไปอย่างไม่สนใจเย่โม่เซิน ในที่สุดก็พบว่าทางเดินของโรงพยาบาลนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครสักคนเดียว
เธอมองผิดไปหรือเปล่า
ไม่อย่างนั้นฝ่ายตรงข้ามจะวิ่งเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร
แต่…แววตาที่ดูโกรธแค้นเมื่อกี้นี้ เห็นชัดว่าคือ…
หานมู่จื่อนึกถึงความฝันเมื่อบ่ายวันนั้นอีกครั้ง ก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
ใช่เธอหรือเปล่า ต้องเป็นเธอแน่เลย ตอนนี้เธออยู่ในโรงพยาบาลนี้หรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็คิดอยากจะออกไปอีกครั้ง เสียงของเย่โม่เซินก็ดังขึ้นมาจากข้างหลังอีกครั้ง “สรุปว่าคุณมองอะไรหรือ”
เสียงนั้นค่อนข้างใกล้ หานมู่จื่อหันกลับมาพบว่าเย่โม่เซินลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงมายังตนเอง
เมื่อนึกขึ้นถึงว่าการเคลื่อนไหวอาจจะทำให้บาดแผลได้รับกระทบกระเทือน หานมู่จื่อจึงได้แต่พูดว่า “นายรีบกลับไปนั่งเลย ไม่ใช่เรื่องของนาย”
เย่โม่เซินขมวดคิ้วแน่น เป็นเพราะสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ ดูเหมือนจะพบเจอกับเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้
“คุณมองเห็นอะไรหรือ” เย่โม่เซินจ้องมองไปยังดวงตาของเธอ ถามออกไปอย่างจริงจัง
หานมู่จื่อ “……”
เธอตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นไม่นานก็พูดขึ้นว่า “หลินชิงชิง”
เมื่อได้ยินชื่อของ หลินชิงชิง ดวงตาของเย่โม่เซินก็มืดลงเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าและยื่นมือออกไปเพื่อดึงตัวหานมู่จื่อเข้ามาในห้องผู้ป่วย ส่วนตนเองก็เดินออกไปดูรอบๆ