บทที่498 เธอคิดว่าฉันอยากให้พวกเธอแตกแยกกัน
ในห้องเหมาชั้นสองของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ส้งอานยืนขึ้นตักน้ำซุปให้หานมู่จื่อถ้วยหนึ่ง “น้ำซุปที่นี่รสชาติดีมาก ก่อนที่ฉันจะไปเมืองซู ฉันชอบมาที่นี่มาก บางครั้งก็ชวนโม่เซินมาด้วย ทว่าตั้งแต่ฉันไปเมืองซู ก็ไม่เคยได้กินน้ำซุปแบบนี้อีกเลย วันนี้ก็ต้องขอบคุณเธอ เพราะเธอฉันก็เลยมีโอกาสได้มากินอีกครั้ง”
เธอยื่นน้ำซุปมาให้ หานมู่จื่อจึงรีบยืนขึ้นแล้วใช้สองมือรับมา
“ขอบคุณค่ะน้าส้ง”
ส้งอานยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจหรอก จะว่าไปเราก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ช่วงห้าปีที่ผ่านมาเธอไปไหนหรอ? เป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมไม่มีข่าวคราวของเธอเลย?”
หานมู่จื่อรับถ้วยมาแล้วนั่งลง จากนั้นใช้ช้อนคนน้ำซุป และตอบคำถามของเธอ
“น้าส้งคะ ห้าปีที่ผ่านมา ฉันเรียนการออกแบบที่ต่างประเทศค่ะ?”
“เรียนการออกแบบ?”ส้งอานอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “เป็นอาชีพที่ดีมากเลย ดูท่าแล้วช่วงเวลาหลายปีมานี้เธอเปลี่ยนไปจริงๆ”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่เธอพูด หานมู่จื่อก็ทำเพียงยิ้มเล็กน้อย และไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ
ที่จริงเธอรู้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่าส้งอานต้องนัดเธอมาทานข้าวแน่นอน อาหารมื้อนี้ขาดไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นในตอนที่ส้งอานโทรมาหาเธอ หานมู่จื่อจึงตัดสินใจมาพบส้งอานอย่างไม่มีความลังเลเลย
“เฉียวเฉียว………”ชื่อที่คุ้นเคยออกมาจากปากของส้งอาน มันคุ้นมากแต่ขณะเดียวกันก็แปลกมากเช่นกัน ในห้วงเวลาหนึ่งหานมู่จื่อรู้สึกว่าเหมือนส้งอานกำลังเรียกคนอื่น
เฉียวเฉียว ชื่อนี้……….
เป็นเรื่องอดีตที่นานมาแล้ว
หลังจากที่ส้งอานเรียกชื่อนี้ เธอก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้อย่างชัดเจน “ตอนที่อยู่ห้องพักผู้ป่วย ฉันได้ยินโม่เซินเรียกเธอว่ามู่จื่อ? เธอเปลี่ยนชื่อแล้วหรอ?”
หานมู่จื่อทำเพียงพยักหน้าแล้วตอบกลับอย่างซื่อตรงว่า “เสิ่นเฉียวเป็นชื่อเก่าของฉัน ส่วนตอนนี้ฉันแซ่หาน ชื่อมู่จื่อ ถ้าน้าส้งไม่ถือสา เรียกฉันว่ามู่จื่อก็ได้ค่ะ”
“หาน? เธอกับตระกูลหาน………….”
“หานชิงเป็นพี่ชายของฉันค่ะ”
พอรู้เรื่องนี้ ส้งอานก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังเธอด้วยแววตาที่ซับซ้อน
ก่อนหน้านี้ที่เธอสืบประวัติของผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นเธอเป็นลูกสาวของตระกูลเสิ่น แต่มาวันนี้ทำไมกลายเป็นคนตระกูลหานไปได้ล่ะ? หรือว่าเธอมีอะไรที่ปิดบังอยู่?
ทว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ส้งอานก็พยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ว่าทำไมไม่มีข่าวคราวของเธอเลย ที่แท้ก็เปลี่ยนชื่อนามสกุลนี่เอง ใช่สิ แล้วหลายปีมานี้ เธอเป็นยังไงบ้าง? ดูจากภายนอกแล้ว น่าจะไปได้สวยเลยใช่ไหม?”
หานมู่จื่อทำเพียงยิ้มออกมาอย่างเขินอายแล้วตอบกลับว่า “ค่ะ ก็ดีค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดว่าก็ดี รอยยิ้มบนใบหน้าของส้งอานก็จางลง
“ที่จริงเธอไม่พูด ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าชีวิตของเธอดี และไม่เพียงแต่ดีนะ เธอในตอนนี้ต่างจากคุณในเมื่อก่อนมากเลยนะ แต่ว่า………ห้าปีมานี้ เธอรู้ไหม? โม่เซินนั้นใช้ชีวิตแบบงุนงงและเบลอๆมาโดยตลอด”
ใบหน้าของหานมู่จื่อ ไม่สามารถฝืนยิ้มต่อไปได้ เธอมองไปยังส้งอานด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง และสีหน้าก็ไร้ซึ่งอารมณ์
“ฉันที่เป็นน้าของเขา ยังไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ราวกับคนที่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร สำหรับโม่เซินแล้ว นอกจากแม่ของเขาแล้ว ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาแคร์ใครอีกเลยจริงๆ แม้แต่คนเป็นน้าอย่างฉัน สำหรับเขาแล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้”
หานมู่จื่อ “…………”
“เธอคงเข้าใจความหมายของฉันนะ”
หานจื่อมู่ “น้าส้งพูดให้มันชัดเจนกว่านี้อีกหน่อยได้ไหมคะ”
“โอเค งั้นฉันจะพูดตรงๆเลยนะ เธอกับโม่เซินเจอกันตอนไหน?”
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นไปมองส้งอานที่อยู่ตรงหน้า เธอวางช้อนลง จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในร้านอาหารวันนั้นให้ส้งอานฟังทีละเรื่อง
ในตอนแรกที่ฟังส้งอานก็ได้ยินตามคาด แต่สุดท้ายเธอก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว แล้วพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “โม่เซินคนนี้นี่ ทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นคนไร้ยางอายได้แบบนี้? ทำไมฉันถึงไม่รู้นิสัยของเขาในตอนนี้……..จริงๆเลย……..”
ที่เธอกำลังต่อว่าหลานของตัวเองเป็นคนไร้ยางอาย หานมู่จื่อเห็นด้วยอย่างมาก
“สรุปก็คือ โม่เซินพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้เจอเธอ และดึงความสัมพันธ์ของเธอสองคนเข้าหากันใช่ไหม?”
หานมู่จื่อพยักหน้า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
“และตอนนี้เธอไม่ชอบเขาแล้ว ไม่อยากเจอเขาตั้งแต่แรก และไม่อยากเข้าใกล้เขาด้วย ถูกไหม?”
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด หานมู่จื่อก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าแล้วมองไปยังส้งอานที่อยู่ตรงหน้า
แววตาของเธอดุดันราวกับกำลังลุกเป็นไฟ
“ลังเลแล้วหรอ?”ส้งอานยิ้มเล็กน้อย
หานมู่จื่อได้สติกลับมา แล้วยิ้มเจื่อนๆ “น้าส้งกำลังพูดเรื่องตลกอะไรคะ หัวใจดวงนั้นของฉันมันไม่มีมานานแล้วค่ะ แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาเป็นลูกค้าของฉัน แถมยังได้รับบาดเจ็บเพราะฉันอีก ฉันก็เลยดูแลเขาตามหน้าที่เท่านั้นค่ะ”
“แล้วหลังจากที่เขาหายดีล่ะ?”ส้งอานถามขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าเขาหายดี ฉันจะจากไปเอง และจะไม่ไปให้เขาเห็นหน้าอีก”
“แล้วความสัมพันธ์เชิงธุรกิจของพวกเธอล่ะ?ถ้าเขาจะหาเธออยู่ตลอดเวลาล่ะ?เธอจะหนีอย่างไร?”ส้งอานถามคำถามไปรัวๆ จนทำให้หานมู่จื่อตอบไม่ทัน
หานมู่จื่อหยุดลง ไม่ได้ตอบคำถามของส้งอานต่อ แต่จ้องมองไปยังเธอ “น้าส้งมีอะไรก็พูดมาตรงๆเถอะค่ะ”
ส้งอานยิ้มมุมปาก “เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดจริงๆ อันที่จริงห้าปีก่อนฉันชอบเธอมาก ถึงแม้โม่เซินจะพูดถึงการแต่งงานครั้งที่สองของเธอ แต่ฉันก็รู้สึกว่าเธอเป็นคนดี แค่พวกเธอสามารถผ่านความยากลำบากไปได้ และอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว แต่ว่าตอนนี้……..ฉันกลับรู้สึกว่าพวกเธอไม่ค่อยเหมาะสมกันแล้ว”
หานมู่จื่อไม่ได้พูดอะไรต่อ บนใบหน้าก็ไร้ซึ่งอารมณ์
ส้งอานสังเกต แล้วพูดต่อ “ภาพลักษณ์ของเธอกับนิสัยของคุณต่างกันมากจริงๆ ภายนอกดูเหมือนอ่อนแอ แต่นิสัยกลับแข็งกร้าวโม่เซินก็ไม่ใช่คนที่จะยอมคนอื่น ถ้าพวกเธออยู่ด้วยกัน ต้องทนเจ็บไปตลอดและไม่มีความสุขแน่”
“ค่ะ น้าส้งวิเคราะห์ได้ไม่ผิด ฉันรู้ข้อนี้ดี ก็เลยเลือกที่จะจากไปค่ะ”หานมู่จื่อพยักหน้า แสดงให้รู้ว่าเธอก็เห็นด้วย
ส้งอาน “…………”
แววตาของเธอคลุมเครือเหมือนซ่อนอะไรไว้ เมื่อเห็นว่าตอนที่เธอพูดเรื่องเหล่านี้ สีหน้าและแววตาของหานมู่จื่อนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเย่โม่เซินคงไม่มีโอกาสแล้ว
ถ้ายังมีเยื่อใยกับเย่โม่เซิน ฟังคำพูดของเธอแล้วต้องลนลานสิ
แต่เธอไม่มีอาการนั้นเลย……..
โม่เซินเอ๋ยโม่เซิน ไม่ใช่ว่าน้าไม่ช่วยลูกนะ แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่มีเยื่อใยกับลูกแล้ว การบังคับมันจะไม่มีวันมีความสุข
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ส้งอานก็ถามขึ้นว่า “งั้นหลายปีมานี้ เธอได้แต่งงานใหม่หรือยัง?”
คำถามนี้ ราวกับระเบิดที่โยนเข้าไปในหัวใจของหานมู่จื่อ
เธออึ้งไปเลย แล้วหลับตาลง “ยังค่ะ”
“ยัง?”ส้งอานร้องออกมาอย่างตกใจ “เวลาห้าปี เธอไม่ได้เปิดใจให้ใครเลยหรอ? ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว? งั้นเธอ…………”
หานมู่จื่อยิ้มเจื่อน “ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตคนเดียวมันดีมากเลยค่ะ น้าส้งคะ ฉันรู้ว่าน้าต้องการสื่อถึงอะไร………น้าวางใจเถอะค่ะ หลังจากที่จัดการเรื่องในครั้งนี้เสร็จ ฉันจะหาวิธีเลิกติดต่อกับเย่โม่เซินแน่นอนค่ะ และจะไม่ให้เขามารบกวนฉันอีก”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ส้งอานก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด
“เธอคิดว่าฉันมาในวันนี้เพื่อให้พวกเธอแตกแยกกันหรอ?”