บทที่499 สังเกต
หรือไม่ใช่?
คำๆนี้เกือบหลุดปากออกไปแล้ว
ทว่า ท้ายที่สุดแล้วหานมู่จื่อก็ไม่ได้พูดออกไป
“อันที่จริง ตอนนี้ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้เธอกับโม่เซินอยู่ร่วมกัน แต่ไม่ใช่เพราะฉันอยากให้พวกเธอแตกแยก เธอก็รู้ว่าก่อนหน้านี้น้าส้งชอบเธอมาก”
เรื่องนี้ หานมู่จื่อยอมรับ ก่อนหน้านี้ที่เธอได้รับบาดเจ็บ ก็มีแต่ส้งอานนี่แหละช่วยรักษาเธอ จากนั้นยังพูดปลอบใจเธอ และด่าเย่โม่เซินแทนเธออีก
สิ่งเหล่านี้ หานมู่จื่อจำไว้ในใจเสมอ
“น้าส้งคะ ฉันทราบดีค่ะ”หานมู่จื่อยิ้มเล็กน้อย “ฉันทราบความคิดที่ผ่านมาและความคิดปัจจุบันของน้าดีค่ะ น้าวางใจเถอะ”
ตอนแรก………..ส้งอานนึกว่าเธอจะอธิบายอะไรกับตัวเอง
แต่ตอนนี้เธอไม่อธิบายสักคำ มิหนำซ้ำยังรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอบอกว่าไม่ได้มาเพื่อทำให้พวกเขาแตกแยกกัน ทว่า……..สิ่งที่เธอพูดในเมื่อสักครู่ ไม่ได้ต้องการให้แตกแยกแล้วต้องการอะไร?
ทันใดนั้น ส้งอานก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี แค่รู้สึกว่าหานมู่จื่อในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ
เรียบนิ่ง สุขม และสงบ
“ทานข้าวกันเถอะ”อยากจะพูดออกไปเป็นหมื่นล้านคำ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยประโยคนี้
“ค่ะ”หานมู่จื่อยิ้ม แล้วทั้งสองคนก็ทานข้าวกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
หลังทานข้าวเสร็จ เพราะว่าส้งอานไม่ได้ขับรถมา หานมู่จื่อก็เลยอาสาไปส่งเธอ
ตอนที่ลงรถ ส้งอานมองไปยังเธอ แล้วพูดขึ้นว่า “มู่จื่อ”
หลังได้ยินเสียง หานมู่จื่อรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “คะ น้าส้ง?”
ส้งอานมองดูหานมู่จื่อที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “ถ้าน้าบอกเธอว่า หลังจากที่รู้เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด น้ายังคงอยากให้เธอเกลี้ยกล่อมโม่เซินเรื่องหลินชิงชิง เธอจะรับปากไหม?”
ราวกับรู้อยู่แล้วว่าส้งอานต้องพูดเรื่องแบบนี้ หานมู่จื่อไม่มีท่าทางที่พิเศษอะไร ทำเพียงพยักหน้า “ได้ค่ะ”
“ได้?”ส้งอานตกใจเล็กน้อย “เธอ ไม่โทษน้าหรอ?”
“จุดประสงค์ที่น้าส้งมาเมืองเป่ย ก็เพื่อเรื่องนี้ไม่ใช่หรอคะ?”เธอตอบ
ความคิดในใจถูกเปิดโปงออกมาหมด ส้งอานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เธอกระแอมเล็กน้อย “งั้นเธอไม่โทษน้าส้งหรอ?”
“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้น้าส้งเป็นคนกลาง และคุณเย่ก็เป็นหลานชายของน้าส้ง คนที่เป็นญาติกันยังมาตามเรื่องของหลินชิงชิง คนนอกอย่างฉันไม่มีสิทธิ์อะไรแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น ฉันเคารพการตัดสินใจของน้าส้งค่ะ แต่ว่า เรื่องนี้ทางคุณเย่เขา……….”
“นี่ก็คือเหตุผลที่น้าเรียกเธอออกมาในวันนี้ น้าเดาว่าที่เขาแจ้งความหลินชิงชิงเพราะเธอใช่ไหม? มู่จื่อ น้ารู้ว่าคำขอร้องของน้ามันมากเกินไป แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะน้าเอง เพราะได้รับความไว้วางใจจากเพื่อน น้าไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรื่องนี้มันจะทำลายอนาคตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเลย เธอเข้าใจใช่ไหม?”
หานมู่จื่อพยักหน้าเงียบๆ
“เธอวางใจเถอะ น้าจะให้คุณแม่หลินพาหลินชิงชิงออกไปไกลๆแน่นอน ครั้งนี้ที่ปล่อยพวกเขาไปถือว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว ถ้าหลังจากนี้เขายังคิดที่จะทำร้ายเธออีก อย่าว่าแต่โม่เซิน น้าก็จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียวอย่างแน่นอน”
ตามคาดเลย ในใจของหานมู่จื่อคิดอะไรอยู่ส้งอานก็รู้หมด
หานมู่จื่อยิ้มเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเพื่อแสดงความขอบคุณ”ขอบคุณค่าน้าส้ง”
ตอนแรกส้งอานรู้สึกว่าสองคนนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว อันที่จริงห้าปีที่เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในใจของส้งอานก็มีเคืองบ้าง แต่ก็ไม่มากขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ใจร้ายจริงๆ ตลอดเวลาห้าปี สามารถหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ นิสัยแบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับโม่เซิน
ทว่าดูจากเธอในตอนนี้แล้ว ส้งอานกลับรู้สึกว่ายิ่งอยู่ยิ่งชอบเธอ และเพราะหานมู่จื่อเป็นคนดีแบบนี้ จึงทำให้ส้งอานรู้สึกผิด สุดท้าย ส้งอานก็พูดขึ้นว่า “เธอเป็นเด็กดีนะ น้าไม่ได้มีเจตนาให้พวกเธอแตกแยกกันนะ”
หานมู่จื่ออึ้งไปเลยน้อย จากนั้นริมฝีปากแดงก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วพยักหน้าให้ส้งอาน จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“เธอกลับไปเถอะ ขับรถระวังด้วยนะ”
“ค่ะ”
ตอนที่หานมู่จื่อขับรถออกไป ส้งอานก็ถอนหายใจออกมา
เป็นเด็กดีจริงๆ แต่ดูจากเธอในตอนนี้แล้ว โม่เซินคงไม่มีหวังแล้ว
โชคชะตาแบบนี้ ส่วนมากเราจะบังคับมันไม่ได้
การขึ้นศาลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หานมู่จื่อยังคงทำอาหารส่งไปให้เย่โม่เซินที่โรงพยาบาล
ชีวิตช่วงนี้ของเธอวนเวียนอยู่แต่กับ บริษัท โรงพยาบาล และบ้าน ผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็แลดูซูบผอมลง
เย่โม่เซินก็เพิ่งสังเกตเห็นในตอนที่เธอนั่งลง และขอบตาของเธอก็ดำเล็กน้อย หน้าที่เรียวเล็กตั้งแต่แรกก็ซูบลงกว่าเดิม ทำให้เห็นองประกอบทั้งห้าบนใบหน้าชัดมากขึ้น และการแต่งหน้าของเธอ เมื่อกระทบกับแสงไฟแล้วก็สวยจนน่าหลงใหล
เย่โม่เซินพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบ ราวกับว่ามีอะไรติดอยู่ในลำคอ “ตั้งแต่พรุ่งนี้ เธอไม่ต้องทำอาหารมาให้ฉันแล้ว”
หลังได้ยิน การกระทำของหานมู่จื่อก็หยุดชะงัก จากนั้นก็กลับเข้าสู่ความเงียบ แล้วยื่นถ้วยในมือให้กับเย่โม่เซิน
มองดูสีหน้าที่เรียบนิ่งของเธอ ในใจของเย่โม่เซินก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“เธอไม่ถามเหตุผลหน่อยหรอ?”
หานมู่จื่อพลางจัดอาหารทีละอย่าง พลางพูดขึ้นด้วยเสียงที่เรียบนิ่งว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าถามเลย”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว ขณะเดียวกันก็สังเกตถึงอาหารบนโต๊ะของวันนี้มันมากกว่าทุกๆวัน ความผิดปกติแบบนี้ทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “ทำไมถึงเยอะขนาดนี้?”
“นายเข้ารับการรักษานานขนาดนี้ อาการก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ พรุ่งนี้ก็จะขึ้นศาลแล้ว ก็เลยทำมาเยอะหน่อยเพื่อแสดงความยินดีกับนาย”
“แสดงความยินดี?”เย่โม่เซินยกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง จากนั้นก็หรี่ตาลง “แสดงความยินดีจริงๆหรอ?”
หานมู่จื่อพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นการแสดงความยินดี ก็ต้องมีความสุขไม่ใช่หรอ?”ร่างสูงของเย่โม่เซินโน้มตัวเข้าไปข้างหน้าเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นๆเข้าใกล้ตัวเธอ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังตัวเธอ “แต่เธอดูแล้ว ไม่มีสีหน้าที่ดีใจเลยแม้แต่น้อย เป็นอะไรไป?” ลมหายใจของเขากระทบกับใบหน้าของเธอ ทำให้ หานมู่จื่อตกใจเล็กน้อย ขาของเธอจึงก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “ไม่มีอะไร เพิ่มอาหารการกินให้นายแล้วนายไม่ดีใจ? งั้นฉันเก็บล่ะ นายกินข้าวต้มไปเลย”
หลังพูดจบ หานมู่จื่อยื่นมืออกไปเพื่อที่จะเก็บอาหารที่อยู่บนโต๊ะ
เมื่อเห็นว่าเธอกลับมาเป็นปกติ เย่โม่เซินจึงยื่นมือออกไปห้ามเธอ “ไหนๆก็อุตส่าห์เอาออกมาแล้ว ยังจะเก็บเข้าไปอีก?”
หานมู่จื่อชักมือกลับ แล้วจ้องเขม็งไปยังเขา “แล้วนายยังจะพูดมากอีก?”
เย่โม่เซินยิ้มมุมปาก “ไม่พูดแล้ว”
เขาลืมเรื่องก่อนหน้านั้นไป แล้วก็กินข้าว ส่วนหานมู่จื่อก็นั่งอยู่ข้างๆ กำลังคิดว่าอีกเดี๋ยวจะเริ่มพูดยังไงกับเขาดี
ที่ส้งอานนัดเธอออกไป จุดประสงค์ก็คือให้เธอมาเกลี้ยกล่อมเย่โม่เซิน เมื่อก่อนส้งอานมีบุญคุณกับเธอ และการตอบแทนเป็นสิ่งที่ควรทำ
หลังจากที่เย่โม่เซินกินไปพอประมาณ หานมู่จื่อก็พูดขึ้นเบาๆว่า “พรุ่งนี้จะขึ้นศาลแล้ว นายให้ทนายความเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
จู่ๆก็มาพูดถึงเรื่องนี้ เย่โม่เซินรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ผิดปกติทันที เขาจึงเงยหน้าแล้วมองไปยังเธอ “เธออยากจะพูดอะไร?”
หานมู่จื่อตกใจมาก ไม่คิดว่าเพียงแค่เธอถามออกไปแบบนี้ เขาก็จะสังเกตได้ทันที
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นเธอก็จะพูดตรงๆเลยดีกว่า และจะได้ไม่ต้องคิดมากแล้ว