บทที่ 502 ใจตรงกัน
เสียงวีแชทดังขึ้นอีกครั้ง ความคิดของเสี่ยวเหยียนก็ถูกขัดจังหวะ เธอกลับมามีสติและส่ายหัวเเรงๆ
นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ? หานชิงจะหันมามองเธอได้อย่างไร?
พอนึกภาพหานชิง เธอก็ต้องหยุดความคิดนี้ไว้ เพราะไม่อย่างงั้นเธอจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้ที่ยังไม่ได้แต่งงานเสียที เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไร จะอยู่ในสายตาของหานชิงได้อย่างไรกัน?
ขนาดคนเลิศเลออย่างซูจิ่ว หานชิงก็ยังไม่มอง
แล้วเธอล่ะ มีดีอะไร? มีข้อดีอะไรที่จะให้เขามาชอบได้?
พอคิดถึงตรงนี้เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกเศร้าใจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความ
(เป็นไปไม่ได้หรอก พี่ชายเธอคงไม่ชอบคนอย่างฉัน)
(ยังไมเคยลอง เธอรู้ได้อย่างไร? อีกอย่างนึงเธอก็เคยจูบเขาแล้วไม่ใช่หรือ? ต่อไปเธอก็พัฒนาไปอีกขั้นก็ได้นี่)
เมื่อเห็นประโยคเหล่านี้ เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าหานมู่จื่อก็เป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่เหมือนกัน เธอพยายามอย่างหนักเพื่อให้พี่ชายของเธอมีความสุข
อย่างไรก็ตามเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกอึดอัดที่จะคุยเรื่องหานชิงกับหานมู่จื่อต่อไป ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงวางโทรศัพท์ทิ้งไว้และพลิกตัวแผ่หราบนเตียง
ด้วยความว้าวุ่นใจ
ท้ายที่สุดก็หลับตาและพยายามหยุดคิดเรื่องนี้อีกครั้ง
*
วันรุ่งขึ้นเป็นวันขึ้นศาล แน่นอนว่าหานมู่จื่อไม่พลาดมาเป็นพยานในที่เกิดเหตุ เธอซักผ้าตั้งแต่เช้าสวมชุดสูทและกระโปรงอย่างทะมัดทะแมง จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตกันลม
ก่อนออกเดินทาง เธอบอกเสี่ยวหมี่โต้วว่าวันนี้ให้ไปทานอาหารที่โรงเรียน และเธอจะไปรับเขาเองหลังเลิกเรียน
นานมากแล้วที่หานมู่จื่อไม่ได้ไปรับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนด้วยตัวเอง หลังจากได้รับคำสัญญาดังกล่าว เขาก็ตอบตกลงด้วยความดีใจ
เธอไปที่โรงพยาบาลก่อน เมื่อเธอไปถึงประตูห้องผู้ป่วย เธอก็ได้ยินส้งอานและเย่โม่เซินคุยกัน
นอกจากนี้ยังมีเสียงคนอีกคนหนึ่ง
หานมู่จื่อยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วย มองเห็นฉากด้านในผ่านกระจกหน้าต่างบานเล็ก
ส้งอานนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ ใบหน้าของเย่โม่เซินดูเย็นชาอย่างมาก และมีคุณนายที่แต่งตัวดูดีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา หานมู่จื่ออยู่แวดวงนี้มานานจึงดูออกว่าเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่นั้นเป็นของหรูหรา
เธอมองไปทางเย่โม่เซินอย่างใจจดใจจ่อราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่าง มือขยับไปมา
พอคิดได้สักพัก หานมู่จื่อก็พอจะคาดเดาได้ถึงสถานะของผู้หญิงคนนั้น
การที่เดินทางมาถึงในเวลานี้ได้ อีกทั้งยังอยู่ในวัยนี้ ในวัยนี้คาดว่าจะมีเพียงแม่ของหลินชิงชิง
ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันนานแค่ไหน หานมู่จื่อไม่ได้เข้าไปรบกวน แต่รออยู่ที่หน้าประตู
แววตาของเย่โม่เซินยังคงเยือกเย็นมาโดยตลอด เขาไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระที่แม่ของอีกฝ่ายพูดกับเขา เขาต้องการลงโทษผู้หญิงที่กระทำความผิดที่ทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาเท่านั้น
เมื่อหานมู่จื่อปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตู เธอก็ดึงดูดสายตาของเย่โม่เซิน จากนั้นทางด้านคุณแม่หลินก็ยังคงพูดอะไรบางอย่าง แต่เย่โม่เซินกลับลุกขึ้นและเดินตรงออกไปข้างนอก
คุณแม่หลินกับส้งอานนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็เดินตามเขาไป
เมื่อเห็นเขาเดินออกไปด้วยความรีบร้อน ส้งอานก็รู้สึกแปลกใจ คุณแม่หลินมองเธอด้วยความสงสัย ส้งอานผายมือออกเพื่อบอกเธอว่าไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน
จนกระทั่งประตูห้องผู้ป่วยเปิดออก น้ำเสียงของเย่โม่เซินก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ส้งอานจึงเดาได้ว่าเป็นเพราะอะไร
“ทำไมมายืนอยู่ข้างนอก เข้ามาสิ”เย่โม่เซินมองไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกำแพง ผู้หญิงคนนี้โง่หรือเปล่านะ? ยังมีสติอยู่หรือเปล่า? เธอมาถึงแล้วแต่ก็ไม่ยอมผลักประตูเข้าไป แล้วมายืนอยู่ข้างนอกแบบนี้ เธอคิดจะยืนอยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?
“…”คนคนนี้สายตาดีเสียจริงๆ เมื่อกี้ยังเห็นๆอยู่ว่าสายตาของเขาไม่ได้มองมาทางนี้เลยสักนิด แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมาที่นี่?
เมื่อเห็นเธอมีสีหน้าประหลาดใจ เย่โม่เซินก็สามารถเดาได้อย่างง่ายดายว่าเธอกำลังคิดอะไรในตอนนี้ ริมฝีปากบางพูดว่า “ไม่ต้องเดา ก็แค่ใจตรงกัน”
หานมู่จื่อ “…”
นี่เขาอ่านใจคนได้ด้วยหรือ?
แต่เธอไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้เพราะเย่โม่เซินจับข้อมือพาเธอเข้าไปในห้องผู้ป่วย
เขาไม่เคยคิดจะคุยกับแม่ของหลินชิงชิงมาก่อน พอหลังจากพาหานมู่จื่อเข้ามาในห้องก็ออกปากไล่ไปตรงๆ “ผมจะไม่เปลี่ยนใจ ตอนนี้คุณไปได้แล้ว”
แม้อีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส แต่เย่โม่เซินก็ยังปฏิบัติกับเธอเช่นนี้…หานมู่จื่อขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าเธอจะคิดว่าเย่โม่เซินทำตัวแบบนี้ออกจะเกินไปหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม…ลูกสาวไม่ได้รับการสั่งสอนล้วนเป็นความผิดของผู้เป็นแม่
ลูกสาวของเธอทำผิดเช่นนี้ ถ้าเธอไม่ได้สำนึกแทนลูกสาวด้วยความจริงใจ แล้วยังอยากจะปกป้องเธออยู่อย่างงั้นหรือ?
ดังนั้นหานมู่จื่อจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ
คุณแม่หลินตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินเย่โม่เซินเอ่ยปากไล่
“โม่เซิน อย่าเลยนะโม่เซิน วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อมาขอโทษคุณด้วยความจริงใจ ชิงชิงทำผิดล้วนเป็นเพราะฉันไม่ได้สั่งสอนเธอให้ดี แต่เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าเธอต้องเข้าคุกไปแบบนี้ ฉันคงนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ!”
หานมู่จื่อเม้มริมฝีปาก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
เย่โม่เซินพูดอย่างเย็นชา “คุณนายหลินคิดว่าตอนนี้ผมเป็นแบบนี้ยังอยู่ไม่สู้ตายไม่พออย่างงั้นหรือ?”
พอโดนเขาถามกลับมาแบบนี้ ใบหน้าคุณแม่หลินก็สลดลง “ฉันรู้ ฉันรู้ ตอนนี้คุณทรมานมากกว่าเธอหลายพันเท่า แต่ทุกคนก็มีช่วงเวลาที่ผิดพลาดกันได้ คราวนี้เป็นเพราะชิงชิงหุนหันพลันแล่น ขอแค่คุณยอมยกโทษให้เธอ ฉันสัญญาว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก แต่ถ้าเกิดมีครั้งต่อไปอีกจริงๆ ฉันจะไม่ห้ามคุณเลย และแม่อย่างฉันจะเป็นคนแรกที่ลงโทษเธอ แต่ว่า…ครั้งนี้ให้โอกาสเธอเถอะนะ”
คำพูดเหล่านี้มีผลอย่างมาก
หานมู่จื่อลอบมองคุณแม่หลินอย่างละเอียด เธอรู้สึกว่าคุณแม่หลินพูดมีเหตุมีผลมากกว่าหลินชิงชิงอย่างมาก
และแน่นอนว่า เพื่อที่จะช่วยหลินชิงชิง เธอจึงแสดงออกออกมาแบบนี้
คาดว่าคุณแม่หลินรับรู้ถึงสายตาของเธอที่กำลังลอบมอง คุณแม่หลินมองมาที่เธอและสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่มือของเย่โม่เซินที่กำลังจับมือเธออยู่ อยู่ๆคุณแม่หลินก็นึกอะไรออก เธอมองหานมู่จื่อแล้วพูดว่า “คุณ คุณก็คือผู้หญิงคนนั้น?”
หานมู่จื่อนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ดึงมือกลับ
ในขณะที่เธอกำลังจะดึงมือกลับ เย่โม่เซินก็กระชับจับมือเธอแน่นอีกครั้งและไม่ยอมปล่อย
การกระทำนี้ได้อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว
ทันใดนั้นคุณแม่หลินก็ฝากความหวังไว้ที่หานมู่จื่อ เธอเดินมาหาหานมู่จื่ออย่างรวดเร็ว
“ฉันได้ยินมาว่าชิงชิงต้องการสาดน้ำกรดใส่คุณ และเย่โม่เซินเป็นคนมาขวางไว้จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีคนที่เธออยากทำร้ายก็คือคุณ เพราะฉะนั้นคนที่ฉันควรจะขอโทษก็คือคุณสินะ? ขอโทษ ฉันขอโทษแทนลูกสาวของฉันด้วย เธอยังเด็กไม่รู้ประสีประสา คุณให้อภัยเธอสักครั้งได้ไหมคะ?”
หานมู่จื่อเม้มริมฝีปากอย่างหนัก พลางมองผู้เป็นแม่ที่พยายามอย่างหนักเพื่อลูกสาวตัวเอง
เธอเองก็เป็นแม่คนแล้ว แน่นอนว่าเข้าใจความคิดของเธอดี
พอคิดถึงจุดนี้ หานมู่จื่อจึงอดไม่ได้ที่จะมองเย่โม่เซิน
คาดว่าเขาคงรู้ความคิดของเธอแล้ว เย่โม่เซินจึงพูดออกมาว่า “คุณว่าไง?”