บทที่ 508 เสี่ยวหมี่โต้วโกรธแล้ว
ดวงตาของเขาลุกโชน พอหานมู่จื่อโดนเขาจับจ้องแบบนี้ก็ชาไปทั่วหนังศีรษะ เธอได้แต่พูดกับเขาว่า “ถ้าไม่มีอะไรเเล้ว คุณก็พักผ่อนเถอะ ฉันกลับก่อน”
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ?”เย่โม่เซินมองตาม “อยู่กับผมอีกสักพักเถอะ”
น้ำเสียงแบบนี้ทำให้หานมู่จื่อรู้สึกร้อนรน
คนที่ตั้งคำถามกับเธออย่างจริงจังในวินาทีสุดท้ายด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด ตอนนี้เริ่มผ่อนคลายอีกครั้งราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?
หานมู่จื่อนับเลขในใจอย่างเงียบๆ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ได้ ตอนบ่ายฉันมีธุระ ต้องรีบกลับก่อน”
“ธุระอะไร?”เย่โม่เซินถามเพิ่มอีกประโยค แต่กลับทำให้หานมู่จื่อรำคาญ
เธอตกลงกับเสี่ยวหมี่โต้วว่าจะไปรับเขาตอนเลิกเรียน พอนึกถึงเสี่ยวหมี่โต้ว หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขาเกือบจะทับซ้อนใบหน้าของเย่โม่เซิน
พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็กระแอมเบาๆ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่ฉันต้องไปแล้ว คุณรักษาตัวดีดีล่ะ พรุ่งนี้ถ้าว่างฉันจะมาเยี่ยมใหม่”
“งั้นอาหารเย็นผมล่ะ? คนไม่มา แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ให้เลยหรือ?”ประโยคนี้แฝงไปด้วยความน้อยใจ
หานมู่จื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าคนในครอบครัวของเขาจะไม่มีใครทำอาหารได้ จะให้เซียวซู่เอาอาหารมาให้เขาก็ดูจะเกินไป ผู้ชายอกสามศอกอย่างเซียวซู่ก็คงเป็นกับข้าวที่ซื้อมา
ไม่ได้ หานมู่จื่อส่ายหัว
ทำไมเธอถึงคิดอะไรไร้สาระแบบนี้นะ ตระกูลของเย่โม่เซินออกจะเป็นตระกูลใหญ่โตมีชื่อเสียง ที่บ้านก็ต้องมีพ่อครัว เขาจะกังวลเรื่องอาหารการกินไปทำไม?
พอคิดได้ดังนี้ หานมู่จื่อก็พูดว่า “ให้ฉันคิดดูก่อน ถ้าฉันว่างฉันจะเอาอาหารมาให้”
พอพูดจบหานมู่จื่อก็ไม่ให้โอกาสเขาได้พูดอะไรอีกเลย เธอหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินออกไปเพียงพริบตาเดียว
หานมู่จื่อถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอกหลังจากออกจากห้องผู้ป่วย
โชคดีที่เธอหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเธอไม่รีบออกมาล่ะก็ เย่โม่เซินจะต้องถามต่ออีกแน่ๆ แต่ถ้าไม่ว่างล่ะ?
พอถึงตอนนั้นจะอธิบายอย่างไร
ช่างน่ากลัวจริงๆ
พอคิดถึงเรื่องนี้หานมู่จื่อก็รีบออกจากโรงพยาบาล
โรงเรียน
ขณะนี้มีคนมากมายยืนอยู่บริเวณหน้าประตูทางออก หานมู่จื่อดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองสักพัก ยังเหลือเวลาอีกห้านาทีก่อนที่เสี่ยวหมี่โต้วจะเลิกเรียน เธอจึงรออยู่ที่นั่น
หลังจากรอเกือบห้านาที ในที่สุดเสียงกริ่งเลิกเรียนก็ดังขึ้น
จากนั้นก็มีคุณครูคนหนึ่งพาเด็กกลุ่มหนึ่งออกมาจากชั้นเรียนเรียงเป็นแถวยาว
เนื่องจากความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ คุณครูที่นี่จะจดจำหน้าผู้ปกครองของเด็กนักเรียนได้ จากนั้นก็เรียกชื่อเด็กให้ออกมาจากแถว ร่างของหานมู่จื่อดูโดดเด่นมากในกลุ่มผู้คน พอคุณครูเห็นเธอแล้วก็ยิ้มให้เล็กน้อย “เสี่ยวหมี่โต้ว วันนี้หม่ามี๊มารับหนูแล้ว”
แม้ว่าหานมู่จื่อไม่ได้มาโรงเรียนบ่อยๆ แต่เนื่องจากเธอดูโดดเด่นเป็นพิเศษ และบวกกับที่เสี่ยวหมี่โต้วเป็นที่รักของคุณครู ดังนั้นคุณครูจึงจำเธอได้
เสี่ยวหมี่โต้วถูกเรียกชื่อก็เดินออกมาจากแถว จากนั้นก็มองออกไปด้านนอก
สองเเม่ลูกสบตากันอย่างช้าๆ ดวงตาดำขลับของเสี่ยวหมี่โต้วซึ่งดูสงบนิ่งและไร้คลื่นก็เปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นเขาก็วิ่งไปหาหานมู่จื่อ
“ช้าๆ เดี๋ยวล้ม”พอคุณครูเห็นฉากนี้ก็รีบพูดกำชับเพราะกลัวว่าเขาจะล้ม
และในที่สุดเสี่ยวหมี่โต้วก็เห็นหานมู่จื่อมารับเขาแล้วในรอบหลายวันมานี้ เนื่องจากไม่กี่วันมานี้เขามักจะเห็นน้าเสี่ยวเหยียนมารับเขา แม้ว่าเขาจะชอบน้าเสี่ยวเหยียนมาก แต่ถึงอย่างไรก็ดีใจไม่เท่าหม่ามี๊ของเขาเอง
ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วจึงรีบวิ่งอย่างรวดเร็วและไปยืนอยู่ตรงหน้าหานมู่จื่อ
หานมู่จื่อกลัวว่าเขาจะล้มเมื่อเห็นเขาวิ่งเร็วแบบนั้น เธอจึงได้แต่นั่งยองๆเพื่อรอรับตัวเขาไว้ เสี่ยวหมี่โต้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ แต่เพราะแรงเยอะดังนั้นจึงทำให้เธอถอยหลังออกไป รองเท้าส้นสูงของหานมู่จื่อจึงไม่ได้รับแรงกระแทกจนทำให้ล้มหงายหลัง
เสี่ยวหมี่โต้วกอดคอเธอด้วยความรักใคร่ “ในที่สุดหม่ามี๊ก็มาแล้ว”
“ใช่แล้ว หม่ามี๊ดูน่าเชื่อถือมากใช่ไหม?” หานมู่จื่อยื่นมือออกมาและบีบฝ่ามือนุ่มของเสี่ยวหมี่โต้ว
“อืม!”เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าอย่างแรง
“ไปกันเถอะ!”หานมู่จื่อลุกขึ้นพลางจูงมือเสี่ยวหมี่โต้ว “พวกเราไปเดินเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะ”
ด้วยช่วงเวลาที่หายาก หานมู่จื่อจึงตัดสินใจพาเขาไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและใช้เวลาร่วมกันอย่างคุ้มค่า
สองแม่ลูกยิ้มไปด้วยเดินไปด้วย ผู้คนรอบข้างกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากที่พบว่าตัวเองตกตะลึงอยู่นาน
“เราเดินเล่นสักพักแล้วซื้อผักผลไม้กลับบ้านกันเถอะ เย็นนี้หม่ามี๊จะลงมือทำอาหารให้เสี่ยวหมี่โต้วทานด้วยตัวเอง ดีไหม?”ทั้งสองตรงไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ๆ พอเดินไปสักพักก็ถึงแล้ว อีกทั้งยังเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่
ทั้งสองกำลังเลือกซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต อาจเป็นเพราะอารมณ์ดี หานมู่จื่อตัดสินใจที่จะทำอาหารหลายอย่างในตอนเย็น ดังนั้นเธอจึงเลือกซื้อหลายอย่าง
พอเธอซื้อของเสร็จก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
เธอยิ้มแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เสี่ยวหมี่โต้ว
“โทรหาคุณน้าสิ ให้เขามากินข้าวด้วยกัน”
พอได้ยินดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับโทรศัพท์ แต่ถามด้วยความสงสัย “หม่ามี๊ ทำไมหม่ามี๊ไม่โทรไปหาคุณน้าเองล่ะ?”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของหานมู่จื่อแข็งค้าง เธอจิ้มไปที่แก้มเสี่ยวหมี่โต้วอย่างอายๆ “ทำไมล่ะ? ลูกไม่เต็มใจช่วยหม่ามี๊โทรหรือ?”
เสี่ยวหมี่โต้วส่ายหน้า “หม่ามี๊โกรธคุณน้าอยู่หรือ ถึงไม่กล้าโทรศัพท์หาคุณน้า?
หานมู่จื่อแทบจะสำลัก
ที่แน่ๆเธอทำให้หานชิงโกรธจริงๆ
เนื่องจากหานชิงไม่เห็นด้วยที่เธอไปหามาสู่กับเย่โม่เซิน แต่เพราะช่วงนี้เย่โม่เซินได้รับบาดเจ็บ เธอจึงต้องไปหาเขาที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ อีกทั้งทุกวันมีแต่เรื่องยุ่งๆ เธอจึงไม่ได้มีเวลาไปสนใจหานชิงเลย
เธอเงียบไปสักพัก พลางคิดว่าก่อนหน้านี้เธอพูดกับหานชิงแรงเกินไป
อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของเธอ เขาเป็นที่พักพิงที่แข็งแกร่งของเธอ
บาดแผลที่ได้รับมาตอนแรกก็มีพี่ชายคนนี้ที่คอยช่วยประคับประคองมาได้จนถึงทุกวันนี้
แต่ตอนนี้เธอกลับมาดูแลผู้ชายที่หักอกเธอ ไม่น่าแปลกใจที่หานชิงจะโกรธ
พอคิดได้ดังนั้น หานมู่จื่อก็เม้มริมฝีปากและถือโทรศัพท์ด้วยความสับสน
“หม่ามี๊ ถ้าหม่ามี๊ไม่กล้าโทร เสี่ยวหมี่โต้วจะโทรเอง แต่หลังจากโทรเสร็จหม่ามี๊ก็เป็นคนรับเองนะ”
หานมู่จื่อ “…งั้นก็ช่างเถอะ” เธอหัวเราะพลางเก็บโทรศัพท์ไว้ และคิดว่าตอนเย็นๆจะส่งข้อความวีแชทไปถามดู
แต่ไม่คิดว่าอยู่ๆเสี่ยวหมี่โต้วจะโกรธขึ้นมา เขาบุ้ยปาก “หม่ามี๊นิสัยไม่ดี คุณน้าดีกับหม่ามี๊ขนาดนี้ แต่หม่ามี๊ยังไม่ยอมโทรศัพท์ไปหาคุณน้า”
พอพูดจบ เสี่ยวหมี่โต้วก็กระโดดลงจากรถเข็น “เสี่ยวหมี่โต้วไม่สนใจหม่ามี๊แล้ว”
จากนั้นร่างเล็กก็วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนหานมู่จื่อห้ามไว้ไม่ทัน พอเธอรู้ตัวอีกที เสี่ยวหมี่โต้วก็หายไปแล้ว
หานมู่จื่อตะลึงไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้….