บทที่ 510 คุณจำผิดคนแล้ว
จนกระทั่งเสี่ยวหมี่โต้วคลอดออกมา ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนเย่โม่เซิน
เธอยังคนคิดถึงใครอีกคนอยู่ในหัว
แต่พอคิดแล้วก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้
หานมู่จื่อมองหน้าเขา จากการแสดงออกของเธอนั้น เย่หลิ่นหานรู้สึกได้ว่าเธอจำเขาได้
แต่ในวินาทีต่อมา หานมู่จื่อกลับกลอกตาและพูดกับเขาอย่างแผ่วเบา “คุณจำผิดคนแล้วค่ะคุณผู้ชาย ฉันยังมีธุระต้องทำ กรุณาอย่าตามฉันมาอีก”
พอพูดจบหานมู่จื่อก็เข็นรถเข็นและจูงมือเสี่ยวหมี่โต้วเดินจากไป
เย่หลิ่นหานไม่ได้เดินตามไป แต่ยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจ
เขาพูดออกไปตั้งมากมาย แต่เธอก็ยังทำเหมือนไม่อยากรู้จักกับเขา
หรือว่าตอนนั้นเขาทำอะไรผิด?
เย่หลิ่นหานไม่พอใจเล็กน้อย ห้าปีมานี้เขาคิดถึงเธอมาโดยตลอด แต่เธอกลับทำเหมือนไม่รู้จักเขา
พอคิดได้ดังนั้น เย่หลิ่นหานก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อเดินเข็นรถเข็นไปยังแผนกเเคชเชียร์ เสี่ยวหมี่โต้วยังคงยืนอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟัง เขายังช่วยเธอถือกระเป๋าสตางค์และยังช่วยถือของเล็กๆน้อยๆ หลังจากที่ทั้งสองชำระเงินเสร็จก็พากันออกจากซุปเปอร์มาเก็ต
ทว่ายังมีคนเดินตามมาจากข้างหลังตลอดทาง เป็นเย่หลิ่นหาน
อาจเป็นเพราะเธอจำเขาไม่ได้ เขาจึงไม่ยอมแพ้ ดังนั้นพอออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ต เขาก็ตามพวกเธอมาตลอด
หานมู่จื่อยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าราวกับน้ำแข็ง เสี่ยวหมี่โต้วเงยหน้าขึ้นมองแล้วดึงเสื้อหานมู่จื่อย่างระมัดระวัง “หม่ามี๊ คุณอาคนนั้นตามพวกเรามาตลอดเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้นหานมู่จื่อจึงชะลอเท้าเล็กน้อย เธอกัดปากแล้วพูดว่า “เสี่ยวหมี่โต้ว เราอย่าไปสนใจเขา เดินไปข้างหน้าก็พอ”
“แต่ว่า…หม่ามี๊ไม่รู้จักคุณอาคนนั้นจริงๆหรือฮะ? ถ้าหม่ามี๊ไม่รู้จักเขา แล้วเขาจะเดินตามพวกเรามาทำไม?”เสี่ยวหมี่โต้วเงยหน้าถาม
หานมู่จื่อเองก็อยากถามเขาว่าจะตามพวกเธอมาทำไมกัน? เดินตามคนอื่นมาแบบนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่อยากคุยกับเขา ดังนั้นจะไม่ยอมกลับไปถามเขา
หานมู่จื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ที่พักของพวกเธออยู่ไม่ไกลจากข้างหน้า เธอจะให้เย่หลิ่นหานรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอพักอยู่ที่นี่ เพราะไม่อย่างนั้นวันหลังเขามาตามหาเธออีกจะทำอย่างไร?
ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ เธอก็บังเอิญไปเห็นร้านบาร์บีคิวข้างถนน เธอจึงพูดว่า “เสี่ยวหมี่โต้ว พวกเราเพิ่งกลับมาจากเดินเล่นมาตั้งนาน พวกเราเข้าไปกินอะไรอร่อยๆดีไหม?”
เสี่ยวหมี่โต้วเงยหน้ามอง “แต่ว่าหม่ามี๊ พวกเราจะกลับไปทำอาหารที่บ้านไม่ใช่หรือ?”
“ไม่เป็นไร”หานมู่จื่อยิ้มเบาๆ “กินบาร์บีคิวกันสักหน่อยไม่กระทบกับอาหารเย็นของเราหรอก พวกเราแค่ไม่กินมากไปก็พอแล้ว หม่ามี๊เองก็เดินมาจนเหนื่อย ว่าไง?”
เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้า “งั้นก็ได้ฮะ”
ดังนั้นสองแม่ลูกจึงพากันเข้าไปในร้านบาร์บีคิว พนักงานก็เข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้นทันทีที่พวกเธอนั่งลง
เย่หลิ่นหานที่ตามพวกเธอมาก็หยุดฝีเท้าอยู่ด้านนอกร้านบาร์บีคิว จากนั้นก็มองไปรอบๆ
เขาเป็นคนฉลาดจึงเดาได้ว่าหลังจากที่หานมู่จื่อซื้อของเเล้วไม่ได้ขึ้นรถเเท็กซี่กลับบ้าน และยังพาเด็กน้อยเดินออกมา ดังนั้นเย่หลิ่นหานจึงเดาว่าเธอน่าจะพักอยู่ละแวกนี้ และตอนนี้ก็เข้าไปในร้านบาร์บีคิวเเล้ว….
เธอน่าจะไม่อยากให้เขารู้ว่าพักอยู่ที่ไหน
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าเขายังพอมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง เย่หลิ่นหานก็ควรจากไปได้แล้ว และไม่ควรตามเธอไปเพื่อให้เธอได้รับความอับอาย
แต่ว่า…ไม่ได้เจอกันมาตั้งห้าปี
เธออยู่ในเมืองนี้ และไม่ง่ายเลยที่วันนี้เขาได้บังเอิญเจอกับเธอ หากจะให้จากไป…
ก็ยังไม่เต็มใจอยู่บ้าง
พอคิดได้ดังนั้นเย่หลิ่นหานก็กำหมัดแน่น ลังเลว่าจะจากไปดีหรือไม่
พอโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี เย่หลิ่นหานก็หยิบขึ้นมากดรับสาย จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
“ฉันรู้เเล้ว จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เย่หลิ่นหานก็มองคนทั้งสองที่อยู่ในร้านบาร์บีคิวอย่างไม่เต็มใจจะจากไป
ในที่สุดหลังจากคิดได้เขาก็หยิบปากกาที่พกติดตัวมา จากนั้นก็ฉีกกระดาษแผ่นเล็กๆแล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปแล้วก้าวเข้าไปในร้านบาร์บีคิว
ตอนที่เย่หลิ่นหานนั่งลงตรงหน้าหานมู่จื่อ ใบหน้าหานมู่จื่อก็เย็นชาราวกับน้ำแข็งเกาะ เธอมองเขาด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
“คุณผู้ชาย ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่รู้จักคุณ คุณตามฉันมาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ถ้าคุณมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ล่ะก็ ฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการ ”
เย่หลิ่นหานมองเธออย่างไม่แยแสและพูดเบาๆ “แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงจำฉันไม่ได้ แต่ฉันแน่ใจว่าเธอมีเหตุผลของตัวเอง เธอไม่อยากพูด ฉันก็ไม่บังคับ แต่ฉันจะรอ นี่เป็นเบอร์ติดต่อฉัน ฉันรอเธอมาตลอดห้าปี ถ้าเธออยากทำความรู้จักฉันใหม่อีกครั้งก็ติดต่อมา”
พอพูดจบ เย่หลิ่นหานก็วางกระดาษที่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้บนโต๊ะ
หานมู่จื่อยังคงไม่ไหวติง ใบหน้าเย็นชา
เย่หลิ่นหานพูดเบาๆว่า “ฉันมีธุระ ไม่รบกวนแล้ว”
พอพูดจบเย่หลิ่นหานก็ลุกขึ้นออกไป ก่อนที่จะออกไปเขากลับมาเหลือบมองเสี่ยวหมี่โต้ว ดวงตาคู่นั้น…ช่างลึกซึ้ง
เขาจากไปอย่างรวดเร็ว และเดินอย่างเร่งรีบ
“หม่ามี๊ นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของคุณอาคนนั้นที่ทิ้งไว้ให้” เสี่ยวหมี่โต้วถือกระดาษใบนั้นขึ้นมา
สีหน้าหานมู่จื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอกระซิบข้างหูลูกชายว่า “ทิ้งมันซะ”
“ทิ้ง?” เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตามอง “ทำไมต้องทิ้งด้วยฮะหม่ามี๊?”
หานมู่จื่ออธิบายให้ลูกชายฟังด้วยความอดทน “เสี่ยวหมี่โต้ว หม่ามี๊ไม่อยากติดต่อกับเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บเบอร์โทรของเขาไว้ เก็บไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็เอาทิ้งซะ”
เธอวางแผนค่อยๆตัดความสัมพันธ์กับเย่โม่เซินแล้ว แล้วเธอจะไปหามาสู่กับคนตระกูลเย่อีกคนได้อย่างไร
เย่หลิ่นหาน…
เธอไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลเย่ของพวกเขาอีกต่อไป
“ได้ฮะ”เสี่ยวหมี่โต้วเข้าใจความหมายของเธอ มือเล็กๆขยำกระดาษแผ่นนั้นแล้วทิ้งลงในถังขยะที่อยู่ข้างๆ
“ดีมาก”หานมู่จื่อบีบแก้มเสี่ยวหมี่โต้วอย่างพอใจและยิ้มบางๆ
หลังจากที่สองแม่ลูกกินบาร์บีคิวอยู่ในร้าน หานมู่จื่อก็แน่ใจแล้วว่าเย่หลิ่นหานจากไปแล้ว เธอจึงชำระเงินและพาเสี่ยวหมี่โต้วกลับบ้าน
ในขณะที่ทั้งสองเดินอยู่ระหว่างทาง แมวตัวเมียที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าก็เห็นหานมู่จื่อ สักพักก็ลุกขึ้นเดินมาคลอเคลียและร้องที่ข้างเท้าเธอ
“เมี๊ยว~”เสี่ยวหมี่โต้วชี้ลงไป
“อืม”หานมู่จื่อพยักหน้าอยากก้มตัวไปลูบมัน แต่น่าเสียดายที่ในมือเธอเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย สักพักเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอซื้อปลาไว้ในถุง เธอพูดกับแมวว่า “ฉันซื้อปลาให้แกแล้ว แต่ตอนนี้ต้องขึ้นไปข้างบนก่อน ถ้าว่างเมื่อไหร่ฉันจะเอาลงมาให้นะ แกกลับไปให้นมลูกก่อนเถอะ”
แมวจรจัดร้องเหมียวสองสามครั้งราวกับว่ามันเข้าใจคำพูดของเธอ จากนั้นก็หันกลับไปที่พื้นหญ้า
หานมู่จื่อยิ้มอย่างพอใจ
“แสนรู้จริงๆ”
เสี่ยวหมี่โต้วก็อุทานขึ้นมาว่า “เเสนรู้จังเลย”
“เอาล่ะ พวกเรากลับไปทำอาหารที่บ้านก่อน แล้วค่อยเอาปลามาให้พวกมันด้วยกัน”