บทที่ 511 เขาคงไม่ได้รอตัวเองอยู่หรอกใช่ไหม
ดังนั้นทั้งสองแม่ลูกจึงกลับไปยังชั้นบน เพราะว่าในมือของมู่จื่อกำลังถือสิ่งของอยู่ดังนั้นจึงไม่มีมือที่จะเปิดประตูได้ ประตูจึงถูกป้อนด้วยลายนิ้วมือของเสี่ยวหมี่โต้ว
ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วจึงมีหน้าที่เปิดประตูจากนั้นทั้งสองก็เข้ามาพร้อมกัน
หลังจากเข้าไปแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วก็หยิบรองเท้าแทนเธอและมองให้มู่จื่อเปลี่ยนอย่างสนิทสนมจากนั้นก็กล่าวว่า “หม่ามี๊ วางของลงเถอะแล้วก็พักผ่อนเถอะ”
หานมู่จื่อสวมรองเท้าสลิปเปอร์และตรงไปยังตู้เย็นหลังจากจัดวางวัตถุดิบสิ่งของทั้งหมดลงแล้ว เธอตรงไปยังห้องน้ำเข้าไปล้างมือหลังจากล้างมือแล้วเธอก็รีบเข้าไปยังห้องอาบน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด
เธอเหนื่อยมากจนทรุดตัวลงบนโซฟา
การไปซุปเปอร์มาเก็ตนี้นั้นเป็นงานที่สูบแรงมากจริงๆ ถึงแม้ว่าซุปเปอร์มาเก็ตจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านนักแต่ในการหอบสิ่งของพะรุงพะรังและหนักกลับบ้านนั้นเธอเองก็เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆที่ต้องแบกรับภาระงานนั้น
“หม่ามี๊ ปวดมือหรือเปล่า? เสี่ยวหมี่โต้วนวดให้ไหม”
เสี่ยวหมี่โต้วนั่งอยู่ข้างกายเธออย่างเอาอกเอาใจจากนั้นจับมือเธอแล้วสัมผัสอย่างเบามือด้วยมือเล็กๆของเธอและถามอย่างโง่เง่า “หม่ามี๊ดีขึ้นบ้างไหม?”
หานมู่จื่อมองเสี่ยวหมี่โต้วด้วยความประทับใจ
ใครบอกว่าลูกสาวนั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมมากที่สุด?
เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้ชายนั้นอบอุ่นมากเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยด้วยจริงๆ
เสี่ยวหมี่โต้วไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกสาวเลยจริงๆ ฮือๆ…หานมู่จื่อพยักหน้าด้วยความซึ้งใจ “แน่นอน ดีขึ้นมากเลย ขอบคุณมากเสี่ยวหมี่โต้วของฉัน”
ทันทีที่เขาได้รับคำชม เสี่ยวหมี่โต้วก็หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขจากนั้นเขาก็ยืนขึ้นบริเวณไหล่ของหานมู่จื่อ น้ำหนักมือเขาไม่เบาไม่หนักจนเกินไปและกำลังแรงก็พอดี
สบายมากจริงๆ
หานมู่จื่อหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
และในที่สุดหานมู่จื่อผ่อนคลายจนหลับใหลไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวหมี่โต้วเองก็ไม่รบกวนเธอ
หานมู่จื่อค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทรา
รอลมหายใจของเธอเข้าสู่สภาวะปรกติ เสี่ยวหมี่โต้วก็ค่อยๆลุกออกจากโซฟาจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของหานมู่จื่อออกมา เด็กน้อยมุ่งตรงไปยังระเบียงและกดหมายเลขไปหาหานชิง
หานมู่จื่อรู้สึกเหนื่อยและล้า มือของเสี่ยวหมี่โต้วนั้นอ่อนโยนและนุ่มนวลเธอรู้สึกสบายผ่อนคลายจึงผล็อยหลับไป
เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่แต่รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของอาหาร
เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังอยู่ในภาพความฝันแล้วทำไมจึงมีกลิ่นของอาหาร?
หรือว่า..
ทันใดนั้นจู่ๆหานมู่จื่อก็นึกอะไรขึ้นได้ ในเวลานั้นพูดได้เลยว่าเธอตื่นขึ้นมาอย่างตระหนกตกใจ เมื่อเธอลุกขึ้นนั่งเธอก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกาย
ไม่ใช่ว่าเธอจะทำอาหารหรอกหรือ? ทำไมถึงหลับไป?
“ตื่นแล้วเหรอ?”
ในขณะที่กำลังคิด เสียงที่สงบของผู้ชายก็ดังขึ้นด้านหน้า
ทันใดนั้นหานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมองต้นตอของเสียงและพบว่าหานชิงกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาตรงหน้าเธอ เขาวางโน้ตบุ๊กไว้บนโต๊ะและก้มตัวจัดการงานเอกสาร
“พี่?” คาดไม่ถึงว่าจะเห็นหานชิงที่นี่ หานมู่จื่อรู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้กี่โมงแล้ว? หานชิงมาได้อย่างไร?
สรุปเธอนอนไปนานแค่ไหนกัน?
เมื่อเห็นเธอดูตกตะลึง ในสายตาของหานชิงมีทั้งความโกรธและเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกันและเขาดุว่า “ไม่อยากไปก็ยังจะไป เอาตัวเองไปเหนื่อยแบบนั้น มีประโยชน์อะไร?”
หานมู่จื่อรู้สึกเก้ๆกังๆเล็กน้อย ริมฝีปากเธอกระตุก แต่กลับไม่โต้เถียงคำพูดเขาและถามขึ้น
“กี่โมงแล้ว? พี่มาได้อย่างไรกัน?”
“ทำไม?” หานชิงมองไปที่เธอและถามอย่างนิ่งขรึม “ฉันมาไม่ได้หรือไง? แล้วก็..ไม่ใช่เธอหรือไงที่ให้เสี่ยวหมี่โต้วโทรหาฉัน เรียกให้ฉันมาน่ะ? บอกว่าทำอาหารแทนคำขอโทษ?”
หานมู่จื่อ “……”
เธอกัดริมฝีปากล่างอย่างอึดอัด “พี่ ฉัน….”
“แล้วสุดท้าย พอฉันมาเธอก็นอนหลับยาวเลยเนี่ยนะ?”
คำพูดของหานชิงทำให้หานมู่จื่ออายจนหูแดงไปหมด เธอมีท่าทีเก้ๆกังๆเอื้อมมือไปลูบผมของตัวเอง “เอ่อคือ ฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ทำไมฉันถึงหลับไป ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ฉันจะไปทำอาหารแล้ว”
พูดจบหานมู่จื่อคิดและจะลุกไปทำอาหาร แต่เมื่อเธอลุกขึ้นยืนแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ในขณะที่อยู่ในห้วงนิทรานั้นเธอได้กลิ่นหอมของอาหาร?
ในขณะนี้กลิ่นหอมของอาหารลอยมา มันคือความจริง
หรือว่า…เสี่ยวเหยียนกำลังทำอาหารอยู่?
“เธอไม่ต้องแล้ว เสี่ยวเหยียนกำลังลงมืออยู่ เธอกลับไปนอนต่อได้”
“…….” เธอแตะคางของเธออย่างเขินอายจากนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเดินคอตกไปยังห้องครัว
เมื่อเธออยู่ในห้องครัวเธอก็เห็นร่างของเสี่ยวเหยียนที่กำลังวุ่นวายอยู่ภายในครัวแล้วก็ยังมีร่างของเสี่ยวหมี่โต้วที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย
เมื่อเห็นเธอเข้ามา เสี่ยวหมี่โต้วก็ยิ้มอย่างสดใส “หม่ามี๊ คุณตื่นแล้ว”
หานมู่จื่อกลั้นคำพูดต่อท่าทางของเขาและพยักหน้าจากนั้นหันไปยังเสี่ยวเหยียน “คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เห็นฉันหลับอยู่ทำไมไม่เรียกกันสักคำ?”
เสี่ยวเหยียนเห็นท่าทางที่ไม่ปกติของเธอก็อดขำไม่ได้และกล่าวว่า “ทำไมล่ะ? ไม่ปลุกคุณมาช่วยงานให้คุณหลับต่อมันไม่ดีหรือไง?”
“มันน่าอายนี่นา?” เมื่อหานมู่จื่อเห็นว่าเธอยังยิ้มอยู่ก็อดไม่ได้ที่จ้องมองไปยังเธอ “แล้วฉันเองก็ตั้งใจเตรียมตัวจะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง สรุปสุดท้ายฉันกลับนั่งไปตรงห้องรับแขกเฉยเลย”
แล้วก็ไม่รู้ว่าหานชิงนั่งตรงข้ามเธอมานานแค่ไหน เธอหลับอย่างน่าอับอายก็ถูกคนอื่นเห็นหมดแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปปิดแก้มตัวเองและแสดงสีหน้าเจ็บปวด “เธอนี่เจ้าคนทรยศ”
“ฮี่ๆ อย่ามาโทษฉัน ตอนฉันเข้ามาน่ะพี่ชายเธอเข้าก็อยู่ตั้งนานแล้ว เธอเองก็รู้เรื่องโง่เง่าของฉันเมื่อก่อน ฉันจะกล้าไปพูดคุยกับเขาได้ไงล่ะ? ฉันน่าขายหน้ามากกว่าเธออีกไม่ใช่หรือ? เขาบอกฉันว่าไม่ต้องปลุกเธอแล้วจะให้ฉันไปปลุกเธอต่อหน้าเขางั้นเหรอ? ถ้าทำแบบนั้นฉันจะเสียหน้าต่อหน้าเจ้าชายของฉัน”
“เสียหน้า เธอทำเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า”
“ฮึ เธอก็เหมือนกัน เดิมทีเธอเองก็ไม่ได้คิดเพื่อฉันหรอก”
ทั้งสองโต้เถียงกันภายในครัวและลืมไปเลยว่ามีเสี่ยวหมี่โต้วยืนอยู่ข้างกาย
เสี่ยวหมี่โต้วนั้นถูกละเลยเขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่เมื่อคิดๆแล้วเขาก็ยังคงดีใจ
“ใช่แล้วหม่ามี๊ น้าเสี่ยวเหยียนทำปลาเสร็จแล้ว พวกเราเอาไปให้แมวสักหน่อยไหม?”
เมื่อพูดเช่นนี้ หานมู่จื่อก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะเอาปลาไปให้แมวดังนั้นจึงพยักหน้า “โอเค พวกเราเอาปลาไปให้แมวกัน”
“อื้อ!” เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าอย่างหนัก
เสี่ยวเหยียนยื่นจานมาให้บนจานนั้นมีปลาสองชิ้นที่ถูกจัดการแล้วเรียบร้อยอยู่และเธอกล่าว “ฉันเอาก้างออกมาหมดแล้ว เธอเองก็จิตใจดี ถ้าชอบแล้วทำไมไม่เอาลูกแมวนั่นกลับมาเลี้ยงล่ะ? บ้านก็ใหญ่แล้วอีกอย่างเราอยู่กันแค่สามคน มีสัตว์เลี้ยงสักสองสามตัวก็คงไม่เลวเลย”
หานมู่จื่อครุ่นคิดและรู้สึกว่าก็จริง “ถ้าหากว่าเลี้ยงงั้นก็ต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาลเสียก่อน เสี่ยวหมี่โต้วอยากเลี้ยงหรือเปล่า?”
เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตาปริบๆ “ได้เลย”
เมื่อทั้งสองถือปลาลงไปข้างล่าง หานมู่จื่อก็นึกขึ้นได้ว่าที่โรงพยาบาลยังมีคนคนนึงรอเธออยู่
ตอนนั้นเธอตอบเขาไปว่าถ้าหากว่าเธอว่าเธอจะเอาอาหารไปให้เขา
ตอนนี้ก็ดึกขนาดนี้แล้วไม่ใช่ว่าเขายังไม่ได้กินข้าวหรอกนะ?
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หานมู่จื่อก็คิดว่าคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เขาเป็นถึงประธานของบริษัทตระกูลเย่ มีคนตั้งมากมายรอคอยรับใช้เขา เขาจะปล่อยให้ตัวเองอดอาหารได้อย่างไร?