บทที่512 ใจร้าย
เมื่อสองแม่ลูกให้อาหารแมวที่ชั้นล่างเสร็จ แม่แมวก็เข้ามาคลอเคลียมือของหานมู่จื่ออย่างรักใคร่อาจเป็นเพราะเธอเองรู้ว่าตัวเองสกปรกดังนั้นจึงไม่กล้าคลอเคลียจุดอื่น
เสี่ยวหมี่โต้วยื่นมือออกไปจะสัมผัส เจ้าเหมียวเองก็ไม่ขัดขืนปล่อยให้เสี่ยวหมี่โต้วลูบหัวของมันอย่างเบามือ
“หม่ามี๊ มันเชื่องมากเลย ลูกแมวน้อยก็น่าสงสาร พวกเราเลี้ยงมันไหม”
หานมู่จื่อก็คิดแบบเดียวกันเธอจึงพยักหน้า “โอเค งั้นเราก็เลี้ยงพวกมันเถอะ แต่ว่าวันนี้นั้นดึกเกินไปแล้วเอาเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน พรุ่งนี้เอากล่องมาใส่เจ้าเหมียวพวกนี้แล้วพาพวกมันไปตรวจที่โรงพยาบาลเสียก่อนแล้วค่อยพากลับบ้าน”
“โอเคได้เลย”
ไม่นานทั้งสองก็กลับขึ้นไปชั้นบนและแมวตัวใหญ่ก็คลานกลับเข้าไปในที่ของตัวเอง
เมื่อกลับมายังชั้นบน เสี่ยวเหยียนก็เตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นทั้งสี่คนจึงรวมตัวกันและกินข้าวด้วยกัน
บรรยากาศระหว่างมื้ออาหารนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวเหยียนและหานชิงทำให้เธอกังวลมากเธอจึงไม่กล้าเงยหน้ามองหานชิง เธอรู้สึกเสมอว่าเธอสามารถมองเห็นริมฝีปากของเขาได้ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นและเธอก็จะจินตนการถึงความนุ่มนวลของริมฝีปากเขา
เมื่อคิดเช่นนี้ เสี่ยวเหยียนจึงก้มหน้ากินข้าวและคายความคิดที่น่ารังเกียจไว้ภายในใจ
และความน่าอึดอัดของหานมู่จื่อและเขาน่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเย่โม่เซิน
เนื่องจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าอาจจะมีช่องว่างระหว่างพี่ชายและน้องสาว ดังนั้นอาหารมื้อนี้ค่อนข้างน่าเศร้าใจ
แต่หานชิงนั้นกลับสงบมาก
เขาชิมอาหารนี้และรู้สึกว่าไม่เลว
แล้วยังชิมอาหารอีกอย่างและรู้สึกอีกว่ามันไม่เลวเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาและเสี่ยวมี่โต้วจึงแบ่งให้กันและกัน หานมู่จื่อและเสี่ยวเหยียนนั้นจึงมองหน้ากันและกัน
หลังมื้ออาหาร หานมู่จื่อคิดว่าความลำบากใจระหว่างเธอและหานชิงอาจจะหายไป
“ฉันจะจัดการล้างจานเอง” หานมู่จื่อวางชามลงและลุกขึ้นเตรียมเก็บจานชาม เสี่ยวเหยียนเองก็เช่นกัน ทั้งสองคนช่วยจัดเก็บทำความสะอาดจากนั้นก็เข้าห้องครัวไป
ทันทีที่หานมู่จื่อเก็บของเข้ามาภายในห้องครัว โทรศัพท์ภายในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้น
เธอวางจานลงและล้างมือจากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาดู
และพบว่าเป็นข้อความจากเย่โม่เซิน
ข้อความที่เขาส่งมานั้นไม่ใช่อะไรอื่น มีเพียงสีหน้าน่าสงสารตามมาด้วยประโยค
{คุณยังไม่ว่างอีกเหรอ?}
เมื่อหานมู่จื่อเห็นประโยคนี้เธอก็อึ้งไปชั่วขณะแล้วจากนั้นเธอก็ตอบสนอง ดูเหมือนว่าเธอจะบอกเขาตอนที่เธออยู่โรงพยาบาลว่าหากว่าตอนเย็นเธอว่าง เธอจะเอาอาหารไปให้เขา
แต่ตอนนี้…
หานมู่จื่อมองเวลาตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้วโดยประมาณ
เขายังไม่ได้กินอะไรอีกงั้นหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ หานมู่จื่อจึงตอบกลับข้อความ
{ตอนนี้ฉันยังไม่ว่าง คุณยังไม่ได้ทานอะไรอีกเหรอ?}
เมื่อถามเสร็จ หานมู่จื่อเตรียมเก็บโทรศัพท์ ใครจะรู้ว่าเย่โม่เซินตอนกลับข้อความมาหาเธออย่างรวดเร็ว
{ยังเลย เมื่อไหร่เธอจะมา?}
เมื่อเห็นข้อความนี้ จิตใจของหานมู่จื่อก็อ่อนลงในทันที
ในขณะที่ทุกคนได้กินอาหารกันแล้ว แต่เย่โม่เซินกลับยังคงรอเธออยู่
ถ้าหากว่าเธอไม่ไป เธอจะดูใจร้ายไปหรือเปล่า?
แต่…
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หานมู่จื่อก็รู้สึกว่านี่เล่ห์กลของเย่โม่เซิน
หลังจากผ่านมาหลายวันเขามักจะแสร้งทำเป็นน่าสงสารเพราะอาการบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำบางสิ่งได้ด้วยตัวเอง แต่เขาไม่ได้ทำเพียงแค่รอเธอเท่านั้น
ตอนนี้ก็เหมือนกัน ตอนนี้เธอตัดสินใจที่จะถอนตัวและจากไปแล้ว เธอควรจะใจร้าย เธอไม่ควรถูกล่อลวงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เมื่อคิดได้เช่นนั้นหานมู่จื่อจึงตอบกลับไป
{ฉันยังไม่มีเวลา คุณจัดการเองเถอะ}
เมื่อพูดจบ หานมู่จื่อก็เปลี่ยนโทรศัพท์ให้เข้าสู่โหมดเงียบจากนั้นเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโดยตั้งใจว่าจะไม่ดูข้อความที่เย่โม่เซินส่งมาอีก
“เป็นอะไรไป?” เสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านข้างถามอย่างยิ้มๆ
รอยยิ้มนี้ดูแพรวพราวมาก หานมู่จื่อไม่อยากจะตอบเธอจึงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างของเหลือในชามและเห็นว่าเสี่ยวเหยียนยังคงยิ้มอย่างกรุ้มกริ่ม
หานมู่จื่อยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าว “ถ้ายังยิ้มอยู่อีก เชื่อไหมว่าฉันจะทำให้เธอขายหน้าต่อหน้าพี่ชายของฉัน? ทำให้คุณชายของเธอเห็นสภาพเธอในตอนนี้?”
ทันทีที่กล่าวถึงหานชิงรอยยิ้มและการแสดงออกบนใบหน้าของเสี่ยวเหยียนก็หายไป เธอเม้มริมฝีปากและบ่นพึมพำต่อหานมู่จื่ออย่างไม่พอใจ “หานมู่จื่อ เธอนี่แย่จริงๆ อย่าเอาพี่ชายเธอมากดดันฉันสิ”
“โอ้ ฉันเอาพี่ชายฉันไปกดดันเธอตอนไหนเหรอ?” หานมู่จื่อเลิกคิ้วขึ้น “เห็นๆอยู่ว่าเธอน่ะกลัวเขา เธอได้ทำสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกผิด ไม่งั้น … ก่อนหน้านี้เธอจะกลัวขนาดนี้เหรอ?”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ เสี่ยวเหยียนก็ส่งเสียงฮึและเดินไปล้างจานอย่างหดหู่กับหานมู่จื่อ
หลังจากนั้นไม่นานนัก เสี่ยวเหยียนก็อดใจที่จะถามไม่ได้
“เมื่อกี้..เย่โม่เซินส่งข้อความมาหาเหรอ? ดึกขนาดนี้แล้ว เขาส่งข้อความหาเธอทำไม? คงไม่ใช่จะให้เธอไปโรงพยาบาลหรอกนะ?”
ในช่วงนี้หานมู่จื่อไปโรงพยาบาลแทบทุกวัน เป็นเรื่องยากที่วันนี้เธอจะไม่ไป
หานมู่จื่อพยักหน้า “ใช่ แต่อาการบาดเจ็บเขาดีขึ้นมากแล้ว ฉันควรจะออกมาได้แล้ว”
“ดูแลเขามานานขนาดนั้น จู่ๆเธอจะออกมาเลยแบบนี้เขาจะชินเหรอ?” คำพูดของเสี่ยวเหยียนหยดการกระทำทั้งหมดของหานมู่จื่อจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้ว “ถ้าเขาไม่ชินก็ช่างเขา เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”
“โฮ้” เสี่ยวเหยียนอุทานอย่างยิ้มเยาะและกล่าว “พูดแบบนี้แสดงว่าคืนนี้จะไม่ออกไปสินะ?”
“ใช่” หานมู่จื่อพยักหน้า “ข้างกายเขามีคนล้อมรอบคอยดูแล นอกจากนี้ฉันดูแลเขามาระยะหนึ่งแล้วและฉันก็ทำดีที่สุดแล้ว”
เสี่ยวเหยียนเห็นว่าเธอพูดว่าความรับผิดชอบทั้งหมดของเธอสำเร็จแล้วก็ทางที่ดีก็ไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนเก็บของทำความสะอาดเรียบร้อยและออกจากห้องครัวด้วยกัน
หานมู่จื่อขึ้นไปด้านบนอาบน้ำพักผ่อน เหลือเพียงเสี่ยวเหยียน เสี่ยวหมี่โต้วและยังมีหานชิงที่อยู่ในห้องรับแขก
เพื่อให้ตัวเองไม่ว่างงาน หานมู่จื่อจึงสระผมของเธอ
เพียงแค่น้ำจากหัวฝักบัวไหลลงมาที่ศีรษะของเธอและไหลลงบนร่างกาย ภายในความคิดของเธอก็นึกถึงอาการบาดเจ็บของเย่โม่เซิน ในขณะที่นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยจ้องมองเธอด้วยสายตาเศร้าใจ
หานมู่จื่อคิดว่าสมองเธออาจจะมีน้ำเข้าไปจึงได้เกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา
เธอส่ายหัวสลัดความคิดเหล่านี้ออกไปจากนั้นใช้แชมพูและเจลอาบน้ำทำธุระส่วนตัวของเธอ
เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำก็ใช้เวลาไปแล้วเกือบชั่วโมง
หานมู่จื่อเหลือบมองนาฬิกาบนผนังโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว
เขาคงจะไม่ได้รอเธออยู่หรอกใช่ไหม?
ไม่รู้ทำไม มู่จื่อเป่าผมของเธออย่างสับสนจากนั้นก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้าและใส่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและมีโทรศัพท์มือถือวางอยู่ตรงหน้า
เธอกัดริมฝีปากล่างของเธอและสุดท้ายเธอยังคงใจร้ายไม่ได้สนใจโทรศัพท์เช่นเคย
ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรเธอเองก็ตัดสินใจแล้วไม่ต้องสนใจหรอกว่าเขาจะเป็นอย่างไร
เมื่อถึงเวลาต่อให้เขารอเขาก็คงรอไม่ไหวเดี๋ยวก็คงจะเรียกคนของเขาเองนั่นแหละ
อืม มันต้องเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน
เสี่ยวหมี่โต้วผลักประตูเข้ามาแล้วขยี้ตา “หม่ามี๊ ฉันง่วงแล้ว”
หานมู่จื่อบีบแก้มของเขา “อาบน้ำแล้วหรือยัง? ถ้าหากอาบน้ำแล้วก็ไปแปรงฟันแล้วก็นอนนะเด็กดี”
“โอเค งั้นฉันจะไปแปรงฟัน หม่ามี๊ฝันดี”