บทที่513 คุณเป็นคนโง่ใช่ไหม
เสี่ยวหมี่โต้วปีนขึ้นเตียงของเขาจากนั้นก็หยิบผ้านวมผืนน้อยของเขาของเขาขึ้นมาห่มและเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อเห็นใบหน้าที่หลับใหลของเด็กน้อย หัวใจของเธอก็ไม่สามารถสงบลงได้เลย
ในเวลานี้เธอเองควรจะนอนหลับไปเช่นกัน
แต่หัวใจของเธอกลับสับสนวุ่นวาย ภายในความติดเต็มไปด้วยภาพที่โม่เย่เซินนอนอยู่ในโรงพยาบาลเพียงคนเดียว
หานมู่จื่อ
มีสติหน่อย!
เขาคือโม่เย่เซิน! ไม่ใช่เด็กสามขวบ!
เขาไม่ต้องการการดูแลจากคุณเลย คุณเอาแต่คิดถึงเขาแบบนี้เหมือนกับกำลังทำร้ายตัวเองเลย แล้วคุณเองก็ไม่ใช่พี่เลี้ยงเขา ทำไมต้องคิดอะไรมากมายเกี่ยวกับเขาด้วย?
หานมู่จื่อทำตามคำสั่งงานจากสมองและกลับไปเอนกายลงบนเตียง
เธอหลับตาลง เอนกายลงด้วยความงัวเงียจากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เวลาค่อยๆผ่านไปทีละน้อย ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว
ในท้ายที่สุดหานมู่จื่อไม่สามารถต้านทานความทรมานในใจของเธอได้ เธอค่อยๆลุกขึ้นและก้าวไปหยิบโทรศัพท์ เธอพบว่าเย่โม่เซินส่งข้อความหาเธอหลายข้อความ
{ไม่ใช่เธอบอกว่าว่างและจะมาเหรอ? ถ้าหากว่ายังยุ่งอยู่ งั้นฉันก็จะรอ}
ข้อความนี้คือช่วงเวลาที่หานมู่จื่อเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า
หลังจากนั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง อีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาหาอีกครั้ง
{ยังไม่ว่างอีกหรือ?}
หลังจากที่ไม่ตอบ เขาก็ส่งข้อความมาอีก
{ฉันมารอเธอตรงประตูโรงพยาบาล เมื่อเธอว่างแล้วมาถึงโรงพยาบาลก็จะเห็นฉัน}
ข้อความนี้ส่งมาตอนประมาณสามทุ่ม
สามทุ่มครึ่ง {ฉันรอมาครึ่งชั่วโมงแล้ว คุณผู้หญิง คุณตั้งใจจะให้ฉันรอจริงๆหรือ?}
สี่ทุ่ม {หิวแล้ว}
สี่ทุ่มครึ่ง {หนาวจัง}
ห้าทุ่ม {ยังไม่มาอีกเหรอ? ตรงประตูโรงพยาบาลไม่มีใครแล้วนะ}
ข้อความนี้ถูกส่งเมื่อไม่นานมานี้ สีหน้าของหานมู่จื่อเปลี่ยนไป เธอมองเวลาและข้อความของเขาเป็นเวลาเดียวกัน ให้ตาย
ไม่ใช่ว่าเขายังคงรอเธอตรงประตูทางเข้าโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม? ตั้งแต่เย็นก็ยังไม่ได้กินอะไรงั้นหรือ?
เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บที่หลังของเขาแล้วต้องมารอเธอตรงทางเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในเวลานี้หานมู่จื่อไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เธอรู้สึกเธอเป็นคนบาปเธอไม่สนใจอะไรอีกแล้ว มุ่งตรงไปคว้าเสื้อโค้ทมาสวมและออกไป
ในเวลากลางดึก หานมู่จื่อรีบวิ่งออกไปตรงเขตชุมชนและเรียกแท็กซี่จากนั้นก็ตรงไปยังโรงพยาบาล
ที่นี่อยู่ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ 20 นาที หานมู่จื่อมองดูข้อความสุดท้าย ภายในใจรู้สึกกังวลมาก
เขาคนนี้ก็เห็นๆอยู่ว่าโตๆกันแล้ว แต่ทำไมกลับประมาทตัวเองทำเรื่องเหมือนเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ได้?
ภายในใจของหานมู่จื่อดุด่าเขาเป็นร้อยๆครั้ง เธอเร่งคนขับรถ “คุณลุง ขับไวกว่านี้หน่อย เพื่อนของฉันกำลังรออยู่”
คนขับกำลังขับรถช้าๆและเมื่อเขาได้ยินคำขอของเธอเขาก็พยักหน้า “ได้ เร็วกว่านี้ได้ แต่ก็ต้องปลอดภัยเอาไว้หน่อยนะ”
“ขอบคุณ”
หานมู่จื่อมองลงไปที่โทรศัพท์อีกครั้ง เย่โม่เซินไม่ได้ส่งข้อความถึงเธอ
และไม่รู้ว่าเขากลับไปแล้วหรือเปล่า
20 นาทีหลังจากนั้น ในที่สุดหานมู่จื่อก็ถึงโรงพยาบาล เธอจ่ายเงินและเปิดประตูรถลงมา เธอรีบวิ่งด้วยความเร็วแต่เมื่อมาถึงประตูของโรงพยาบาลกลับไม่พบร่างของเย่โม่เซิน
กลับไปแล้วหรือ?
หานมู่จื่อหอบหายใจอย่างหนักเพราะเธอวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อต้องการดูว่าเย่โม่เซินส่งข้อความถึงตัวเองหรือไม่ และในเวลานี้นั้นด้านหลังของเธอกลับมีเสียงดังขึ้นอย่างนุ่มนวล
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่มาแล้ว…”
เสียงที่คุ้นเคยดังก้องภายในหูของหานมู่จื่อโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เธอหันกลับมาหลังจากงุนงงอยู่ชั่วครู่และเห็นร่างผอมเพรียวของเย่โม่เซินยืนพิงกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ มือของเขาทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงของโรงพยาบาล เงาที่หล่อเหลาซ่อนอยู่ในความมืดแต่สามารถมองเห็นริมฝีปากซีดและใบหน้าที่อ่อนแอได้อย่างจางๆ
ราวกับว่ามีมือใหญ่กุมหัวใจของหานมู่จื่อเอาไว้จากนั้นก็บดขยี้มันอย่างบ้าคลั่ง
ความรู้สึกนี้แทบจะทำให้หานมู่จื่อหายใจไม่ออก
เธอหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบอารมณ์ของตัวเอง
เมื่ออารมณ์ของเธอสงบลง หานมู่จื่อจึงค่อยๆก้าวไปยังคนที่อยู่ใต้ต้นไม้
ทีละก้าว ทีละก้าว เธอกำลังเข้าใกล้เขา
ภายใต้โคมไฟสลัว เงาของทั้งสองถูกกระทบและทอดยาว
“คุณ ทำไมยังอยู่ที่นี่…อ๊ะ” หานมู่จื่อเพียงเดินเข้ามาและเริ่มกล่าว แต่คนที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นก็ยื่นแขนยาวๆของเขาออกมาเพื่อโอบเธอจากนั้นก็จับไหล่ของเธอไว้แล้วหันหลังเธอและกดเธอเข้ากับต้นไม้ใหญ่
หานมู่จื่อส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เมื่อคิดว่าหลังของตัวเองจะกระทบและต้องเจ็บปวดแต่กลับมีมือคู่หนึ่งประคองหลังของเธอเอาไว้
ทันใดนั้นภายในความมืดตรงหน้า ริมฝีปากที่แห้งและเย็นของเย่โม่เซินถูกกดทับลงมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
“อื้อ” ดวงตาของหานมู่จื่อเบิกกว้าง เธอมองไปยังเย่โม่เซินที่อยู่ชิดใกล้ด้วยความไม่เชื่อ
คิ้วที่งดงามของเขาขมวดกันแน่น ขนตาบอบบางสั่นไหวแสดงถึงความอ่อนแอราวกับว่าหากผลักเขาเบาๆก็สามารถผลักออกไปได้อย่างไรอย่างนั้น
แต่สัมผัสจากริมฝีปากนั้นทำให้หานมู่จื่อได้สติขึ้น เธอยื่นมือผลักหน้าอกของเขา เย่โม่เซินส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ราวกับเสียงสัตว์ที่ร้องขอก่อนจะตายไป ช่างดูโหดร้ายหากจะทำร้ายเขาอีกครั้ง
หานมู่จื่อผลักมือของเขาราวกับจะหยุดการกระทำนี้
เย่โม่เซินยังใช้โอกาสที่จะก้าวไปอีกขั้นด้วยการครอบครองความหวานและกลิ่นหอมของเธอ
บนร่างกายของเธอมีความอบอุ่นที่ออกมาจากเตียง ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความหนาวเย็นที่เขารอมาหลายชั่วโมงกลางน้ำค้างในยามค่ำคืน
และเขาต้องการความอบอุ่นเช่นนี้
เย่โม่เซินครองความหวานที่เป็นของเธออย่างละโมบ หานมู่จื่อไม่สามารถดิ้นรนได้ จากการต่อต้านในตอนแรกไปสู่การเชื่อฟังอย่างช้าๆจากนั้นก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก
ท้ายที่สุดทั้งสองกอดกัน
เวลาค่อยๆผ่านไปนาทีต่อนาที วินาทีต่อวินาที อาจเป็นรถที่ขับผ่านมาส่งเสียงดังและดึงสติของหานมู่จื่อกลับมาดังนั้นเธอจึงรีบผลักเย่โม่เซินออกไป
เย่โม่เซินเรียกร้องพอแล้ว ถอนริมฝีปากออกด้วยความเต็มใจ
การหายใจของทั้งคู่เร็วขึ้น ริมฝีปากของหานมู่จื่อบวมแดงเล็กน้อย เธอจ้องมองเขาอย่างมีเสน่ห์และพูดด้วยความโกรธ “คุณโง่หรือเปล่า?”
เย่โม่เซินรู้ว่าเธอดุเขาเพราะอะไร ริมฝีปากบางที่ปรับอุณหภูมิกลับคืนมาทำให้เกิดส่วนโค้งที่สวยงาม เขาโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรักใคร่ สัมผัสหน้าผากของหานมู่จื่อและตอบอืมออกมาอย่างเบาๆ
“อืมหมายความว่าไง ฉันกำลังถามว่าคุณเป็นคนโง่หรือเปล่า คุณยอมรับงั้นเหรอ?”
“อืม”
เย่โม่เซินหลับตาและพยักหน้าตอบอืมอีกครั้ง
หานมู่จื่อโมโหมากกับท่าทีของเขาและคิดอยากจะดุด่าเขาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเย่โม่เซินก็ยื่นมือออกมาและกอดเธอแน่นจากนั้นฝังศีรษะของเขาไว้ในอ้อมแขนของเธอ
“ตราบใดที่เธอเต็มใจมาฉันก็ยินดีที่จะเป็นคนโง่”
“………”
หานมู่จื่อตกตะลึง
เธอตอบรับอ้อมแขนของชายตรงหน้าอย่างโง่เง่า คางเกยอยู่บนไหล่ของเขา บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยไอความร้อนและความแข็งกร้าวจากชายคนนี้
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าเขาจะรอเป็นเวลาหลายชั่วโมงในกลางคืนที่หนาวเหน็บ
แม้ว่า…ดูแล้วเขาจะบอบบาง