บทที่535 งานเลี้ยง (2)
เสียงเย็นชาของชายหนุ่มดังขึ้นกะทันหัน ทำให้คนรอบข้างที่กำลังถ่ายรูปเด็กน้อยตกอกตกใจกันไปหมด
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มไม่แสดงความเป็นมิตรใดๆ เย็นยะเยือกเข้าไปในหูของทุกคน ลึกลงไปถึงจิตใจ
ทุกคนอดขนลุกไม่ได้ และหันกลับไปมองยังต้นตอของเสียง
ชายหนุ่มสวมหน้ากากคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา มือข้างหนึ่งของเขาล้วงอยู่ในกระเป๋า สายตาแหลมคมจ้องไปด้านข้าง ออร่าอันทรงพลังที่อยู่บนตัวทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
“คุณ คุณคือ……”
“ในเมื่อคนอื่นปฏิเสธแล้ว ก็ต้องไสหัวไปไม่ใช่หรือไง?” ชายหนุ่มเปิดปากอีกครั้ง คำพูดที่หลุดมาจากปากไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด ราวกับลูกศรที่แหลมคม
สีหน้าของหลายๆคนเริ่มย่ำแย่ เพราะคำพูดของเย่โม่เซินไม่น่าฟังเป็นอย่างมาก
“คุณ คุณมีสิทธิอะไรมาว่าพวกเราแบบนี้ พวกเราก็แค่ถ่ายรูปเอง ไม่ได้ทำอะไรเขาสักหน่อย คุณ……”
หนึ่งในนั้นเถียงกลับไปอย่างไม่กลัวตาย แต่พูดไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกสายตาเย็นยะเยือกของเย่โมเซินพุ่งเข้าหาทันที ทำให้เธอตกใจจนต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไปทันที จากนั้นก็พูดออกมาอย่างน่าเวทนาว่า “ฉัน ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะลบรูปในมือถือเดี๋ยวนี้แหละ”
เมื่อพูดจบเธอก็เอาโทรศัพท์ออกมาลบรูปที่ถ่ายเมื่อกี้ต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที
ชายหนุ่มสวมหน้ากากที่อยู่ตรงหน้าแค่ดูออร่าก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา อีกอย่างแขกที่ตระกูลหานเชิญมาไม่ใช่เศรษฐีก็เป็นมหาเศรษฐี ก่อนมาคนที่บ้านก็กำชับเธอว่าห้ามก่อเรื่อง เธอรีบออกมาก่อนจะดีกว่า
คนที่เป็นหัวโจกก่อนหน้านี้กลับแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่เห็นคนอื่นลบรูปและออกไปทันที ก็พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลบรูปอย่างขุ่นเคือง คนอื่นที่เหลือเห็นเหตุการณ์เข้าต่างก็รีบลบรูปตามๆกัน
หลังจากฝูงชนเดินจากไปแล้ว เย่โม่เซินก็ถอนสายตากลับมา หัวเราะเยาะในใจด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็หันหลังเตรียมจะเดินออกมา
ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็หามุมสงบไม่ได้เลยจริงๆ
ดังนั้นเขาเลยไม่เคยชอบงานแบบนี้เลย หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เขาคงไม่แต่งตัวมางานแบบนี้แน่
เดินไปได้สองก้าว ด้านหลังก็มีเสียงเด็กน้อยลอยตามมา
“ขอบคุณฮะคุณลุง”
ขาที่ก้าวออกไปของเย่โม่เซินหยุดชะงักทันที เงียบไปครู่หนึ่ง เขาค่อยๆหันหน้ากลับไป
ภายใต้แสงไฟอ่อนๆ เงาเล็กๆยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดสูทตัวเล็กที่ผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้ แต่บนใบหน้ากลับสวมหน้ากากลายการ์ตูนที่ดูไม่เข้ากัน
หน้ากาก ??
เย่โม่เซินหรี่ตา จ้องไปที่ดวงตาดำขลับราวกับไข่มุกที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากของเด็กน้อย
ไม่รู้ทำไม เย่โม่เซินถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้น
เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ?
เสี่ยวหมี่โต้วส่งยิ้มให้เย่โม่เซิน เสียงเล็กๆของเด็กน้อยดังขึ้นเป็นการย้ำเตือนอีกครั้ง “คุณลุง ผมกำลังขอบคุณอยู่นะ”
“……”
เย่โม่เซินได้สติกลับมา เปิดปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แล้วยังไง ?”
ดวงตาที่ใสเหมือนลูกแก้วคู่นั้นเผยความรู้สึกประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงจริงจัง และย้ำชัดทีละคำออกมาว่า “ตอนที่คนอื่นพูดขอบคุณ คุณลุงก็ควรพูดว่า ไม่ต้องเกรงใจไม่ใช่เหรอ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เย่โม่เซินก็หลุดคำออกมาหนึ่งที แต่น้ำเสียงก็ยังเย็นชา
“ไม่ต้องเกรงใจ ?”
เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้า จากนั้นก็ก้าวเท้าเล็กๆไปทางเขา แล้วหยุดลงตรงหน้าเขา โบกมือให้เขา
เย่โม่เซินยืนทำสีหน้าเย็นชาอยู่ตรงนั้น
“คุณลุง คุณช่วยย่อตัวลงมาหน่อยได้ไหม ?”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เด็กอย่างนายจะทำบ้าอะไรกันแน่ ?”
“อ๋อ ผมเห็นหน้ากากที่ลุงใส่สวยดี เลยอยากจะเอามาศึกษาดู ได้ไหมฮะ ?” เมื่อพูดจบ เสี่ยวหมี่โต้วก็สงสายตาเว้าวอนไปให้เขา ท่าทางตั้งหน้าตั้งตารอมาก ๆ
ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่เย่โม่เซินมองท่าทางที่เขาแสดงออกมา ในใจก็เริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมา ก่อนจะตอบด้วยเสียงเย็นชาว่า “พูดจาดีๆหน่อย ยืนตรง !”
เสี่ยวหมี่โต้วสะดุ้ง นัยน์ตาสีดำฉายแววตกใจ
“คุณลุง ?”
“ในฐานะลูกผู้ชาย ทำสีหน้าและแววตาแบบนั้นออกมาได้ยังไง ?” เย่โม่เซินสั่งสอนเขาเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองกับเด็กคนนี้เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก
“อ๋อ” เสี่ยวหมี่โต้วมองเขาอย่างอึ้งๆ “งั้นคุณลุงสอนผมหน่อยได้ไหม ?”
“หึ ให้ฉันสอนนาย ?” เย่โม่เซินหรี่ตา ก่อนจะยิ้มอย่างเย็นชา “นายจ่ายค่าเรียนไหวเหรอ?”
เสี่ยวหมี่โต้วเม้มปาก แล้วพยักหน้าแรงๆ “หม่ามี๊ของผมมีเงินเยอะมากเลยนะ”
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยถึงหม่ามี๊ของเขาขึ้นมา แล้วเย่โม่เซินก็เริ่มสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาค่อยๆย่อตัวลงมาตรงหน้าเสี่ยวหมี่โต้ว แต่น้ำเสียงก็ยังเย็นเฉียบ “หม่ามี๊ของนาย ?”
“ใช่แล้ว หม่ามี๊ของผมมีเงิน ดังนั้นคุณลุงจะสอนผมได้หรือยัง ?”
เย่โม่เซินจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด เมื่อกี้อยู่ไกลมาก ตอนนี้พอเข้ามาใกล้ เย่โม่เซินถึงได้พบว่าบนตัวเขามีกลิ่นอายที่แสนคุ้นเคย ริมฝีปากของเขาขยับ ยังไม่ทันได้เปิดปากก็ได้ยินเสี่ยวหมี่โต้วพูดขึ้นอีกว่า “คุณลุง ผมขอจับหน้ากากลุงหน่อยได้ไหม ?”
“ได้สิ……”
ไม่ได้……
ที่จริงในใจของเย่โม่เซินพูดแบบนี้
เย่โม่เซินเขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่มีทางที่จะรับปากเด็กน้อยที่ขอร้องอะไรไร้มารยาทแบบนี้
แต่เขากลับยกเว้นและช่วยเหลือเด็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ แถมยังรับปากให้เขาจับหน้ากากของตัวเองตามคำขออีก
หลังจากที่เขารับปาก เด็กแสบก็ยื่นมือออกมาทางหน้ากากของเขาจริงๆ
เขาขมวดคิ้ว มองดูมือเล็กขาวนุ่มคู่นั้น ดูท่าทางว่าคงจะนุ่มนิ่มมาก แล้วเขาก็เกิดความคิดที่อยากจะสัมผัสมันขึ้นมา
เย่โม่เซิน “……”
บ้าจริง นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ ?
ขณะกำลังคิด มือของเสี่ยวหมี่โต้วก็จับที่หน้ากากของเขาแล้ว
ถึงแม้จะมีหน้ากากคั่นอยู่ แต่ก็สามารถรับรู้สัมผัสที่ถูกสัมผัสได้ น้อยมากที่เย่โม่เซินจะทำตัวสนิทสนมกับใคร เลยเผลอก้าวถอยหลังอย่างอึดอัด ใครจะรู้ว่าพอเสี่ยวหมี่โต้วเห็นเขาถอยห่าง กลับยื่นมือตามเขาไปทั้งอย่างนั้น แล้วจิ้มหน้ากากของเขาอีกครั้ง
“ฮิฮิ คุณลุงจะจับของผมด้วยไหม ?”
“ไม่ล่ะ”
เย่โม่เซินปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เสี่ยวหมี่โต้วยังจิ้มหน้ากากของเขาอยู่ แต่เหมือนว่ายังไม่รู้สึกพอใจ
หมับ…
เย่โม่เซินคว้าฝ่ามือเล็กนุ่มนิ่มของเขาไว้เพราะความรำคาญ และก็ต้องตกใจทันทีว่าทำไมมือของเด็กนี่ถึงได้นุ่มถึงขนาดนี้ นุ่มกว่าสำลีอีก
“คุณลุง ?” เด็กน้อยดูเหมือนว่าจะสงสัย เลยเอียงคอมองเขา หน้ากากลายการ์ตูนบนหน้าทำให้เขาดูน่ารักเป็นพิเศษ
น่ารัก……
เย่โม่เซินรู้สึกว่าคำนี้เมื่อพูดกับผู้ชายมันดูน่าอายมาตลอด
ไม่ว่าจะกับผู้ชายอายุมาก หรือผู้ชายอายุน้อยก็ตาม
ดังนั้นในอดีตเขาจึงรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันไร้ยางอายมาก
แต่ว่าตอนนี้……เขากลับรู้สึกว่าเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้า……น่ารักมาก ??
เย่โม่เซินรู้สึกสับสนในใจ ก่อนจะหรี่ตา และพูดเสียงเย็นออกไป “หม่ามี๊ของนายไม่เคยสอนนายเหรอ ว่าห้ามเข้าใกล้คนแปลกหน้ามากเกินไป ?”
“ทำไมล่ะ ?” เสี่ยวหมี่โต้วเอียงคออีกครั้ง
“เพราะว่า คนแปลกหน้าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนดี”
“ผมเชื่อว่าคุณลุงเป็นคนดี”
เสียงของเด็กน้อยนุ่มนวล ตอนที่ผ่านเข้าไปในหูของเย่โม่เซิน เขาก็พบว่าตัวเองอ่อนยวบยาบ
ดวงตาของเขาหมองลงเล็กน้อย ก้มหน้ามองฝ่ามือเล็กๆที่อยู่ในมือตัวเอง
“ทำไมถึงเชื่อว่าลุงเป็นคนดีล่ะ ?”