บทที่536 งานเลี้ยง (3)
เป็นครั้งแรก ที่เย่โม่เซินคุยกับเด็กคนหนึ่งด้วยความอดทนขนาดนี้ แล้วเขาเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงของตัวเองค่อยๆอ่อนโยนขึ้นมากแล้ว
“ถ้าคุณลุงเป็นคนไม่ดี เมื่อกี้คงไม่มาช่วยผมหรอก ดังนั้นผมก็เลยเชื่อว่าคุณลุงเป็นคนดี”
เย่โม่เซินเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบอะไร
เสี่ยวหมี่โต้วเห็นเขาไม่พูดไม่จา ก็ครุ่นคิดก่อนจะถามต่อว่า “คุณลุง…..ก็มาร่วมงานเลี้ยงเหมือนกันเหรอ ?”
“อืม” เย่โม่เซินเม้มปาก และพยักหน้าตอบ
“อ๋อ แล้วทำไมคุณลุงต้องใส่หน้ากากล่ะ วันนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงสวมหน้ากากเสียหน่อย”
ริมฝีปากบางของเย่โม่เซินค่อยๆขยับขึ้น ยกขึ้นเป็นมุมที่สวยงาม เขาถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้างั้นนายก็บอกลุงหน่อยสิ ว่าทำไมนายถึงใส่หน้ากาก ?”
“คุณลุงเจ้าเล่ห์จัง ผมเป็นคนถามก่อนแท้ๆ”
เย่โม่เซินมองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าคำพูดของเขาน่าสนใจเป็นพิเศษ แถมยังฉลาดหลักแหลมมาก เป็นลูกของบ้านใครกันแน่
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว แล้วหม่ามี๊ที่มีเงินเยอะที่เขาพูดถึงล่ะ ?
เย่โม่เซินกำลังคิดจะถามออกไป แต่โซนงานเลี้ยงกลับมีเสียงดนตรีดังขึ้น เสี่ยวหมี่โต้วอุทานออกมาคำหนึ่ง “งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว”
เย่โม่เซินมองดูนาฬิกา ก่อนจะตอบรับกลับไปเสียงหนึ่ง
เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอีกครั้ง ในใจก็คิดว่าเกือบจะถูกเขาให้เสียเรื่องแล้ว เป้าหมายที่เขามางานเลี้ยงในวันนี้ไม่ใช่เพื่อมาคุยเล่นกับเด็กน้อยคนหนึ่งเสียหน่อย
แต่ไม่รอให้เขาได้เปิดปาก เด็กน้อยก็เปิดปากพูดก่อนแล้ว “คุณลุง วันนี้ขอบคุณที่ช่วยผมนะฮะ ต่อไปถ้ามีโอกาสผมจะตอบแทนคุณ ผมไปก่อนนะ”
ไม่รอให้เย่โม่เซินได้สติกลับมา เด็กน้อยคนนั้นก็วิ่งไปไกลแล้ว จากนั้นก็หยุดลงและหันมาโบกมือให้เขา มือขาวนุ่มคู่นั้นโบกสะบัดอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็วิ่งจากไปอีกครั้ง
ทอดมองไปยังทางที่เขาหายไป เย่โม่เซินก็ทำสีหน้าและแววตาครุ่นคิด
*
“สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลาย ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้”
พิธีกรพูดอยู่บนเวทีที่สร้างขึ้น จากนั้นก็เชิญให้หานซิงขึ้นมาพูดบนเวที นี่ก็เป็นขั้นตอนปกติของงานเลี้ยง เมื่อหานซิงขึ้นมาบนเวที ผู้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงต่างปรบมือให้เขาอย่างไว้หน้า
หลังจากเสียงปรบมือดังสนั่นจบลง หานซิงถึงได้เริ่มพูด
และตอนนั้นเองที่ด้านหลังของห้องจัดเลี้ยง หานมู่จื่อก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเหยียนยืนอยู่ข้างเธอ จ้องมองเธออย่างล่องลอย
“ฉันคิดว่าชีวิตนี้จะต้องรอให้ถึงเวลาที่เธอแต่งงานถึงจะได้เห็นเธอแต่งตัวอลังการแบบนี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นมันในตอนนี้ อีกอย่าง……คิดว่าต่อไปคงหาชุดที่ดีกว่านี้ยากแล้วล่ะ เพราะมันสวยมากจริงๆ”
ถึงผลงานนี้จะไม่ใช่งานที่หานมู่จื่อออกแบบเอง แต่ก็ถูกทำขึ้นอย่างละเอียดอ่อนช้อยมากจริงๆ
หานมู่จื่อยิ้มเจื่อนๆอย่างไม่มีทางเลือก ก้มหน้าลงมองสำรวจชุดที่แสนสง่างามบนร่างตัวเอง
เธอเป็นนักออกแบบ ก็ต้องคุ้นชินกับของพวกนี้อยู่แล้ว
ชุดที่สวมอยู่นี้ผ่านการตัดเย็บที่ละเอียดอ่อนช้อยมาก ตอนที่สวมอยู่บนตัวจะรู้สึกหนักมาก เพราะมีเพชรประดับจำนวนมาก บวกกับการปักเย็บทั้งสองด้าน
ไม่เพียงแค่นั้น หานซิงยังเตรียมเพชรยอดมงกุฎไว้ให้เธอด้วย เข้าคู่กับชุดที่เธอสวมอยู่
หานมู่จื่อเริ่มรู้สึกสงสัยในชีวิต สุดท้ายตอนที่ช่างแต่งหน้าเอาเพชรยอดมงกุฎอันนั้นออกมา หานมู่จื่อก็แทบจะลมจับทันที
เพราะปกติเธอเคยดูคนอื่นสวมใส่อยู่ด้านล่างของเวทีเท่านั้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้เป็นคนสวมใส่บ้าง อีกอย่างใส่แล้วยังต้องออกไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมายอีก
ถึงแม้จะยอมรับตัวตนของหานมู่จื่อแล้ว แต่ห้าปีที่ผ่านมาเธอเก็บตัวมาก ไม่เคยเปิดเผยตัวตนตัวเองเพื่ออวดคนภายนอกมาก่อนเลย
ไม่ว่ายังไง……ก็ยังไม่ชินเอามากๆอยู่ดี
แม้ว่าชุดเดรสบนตัวจะหนักมาก จนทำให้หานมู่จื่อรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเองแล้ว แต่ว่า……ในสายตาของคนอื่น ชุดนี้คงน่าทึ่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอาล่ะ สวยมาก พวกเรามาถ่ายรูปกันเถอะ แล้วโพสต์ลงโซเชี่ยลกัน”
เสี่ยวเหยี่ยนหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วเปิดโปรแกรมถ่ายรูป จากนั้นก็ชวนหานมู่จื่อมาถ่ายรูปด้วยกันอยู่หลายรูป จากนั้นก็ถ่ายรูปเดี่ยวให้หานมู่จื่ออีกหลายรูป
พิธีกรวิ่งเข้ามา พูดเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา สายตาที่เธอมองหานมูจื่อเป็นประกาย
“คุณมู่จื่อคะ คุณเตรียมตัวเสร็จหรือยังคะ ?”
หานมู่จื่อหันไปมองเธอ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพยักหน้า “อืม”
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันช่วยพยุงคุณขึ้นไปบนเวทีนะคะ”
ยังไงก็เป็นชุดหนัก พิธีกรก็เลยจะไปจูงมือเธอ ตอนแรกหานมู่จื่ออยากจะปฏิเสธ แต่พอคิดดูแล้วก็ยื่นมือออกไปให้อีกฝ่าย “รบกวนคุณด้วยนะคะ”
เสียงพูดที่อยู่ด้านนอกยังดำเนินต่อไป เดิมทีสายตาของแขกที่มาร่วมงานต่างก็จับจ้องอยู่ที่ตัวของหานซิง แต่ทันทีที่หางตาเหลือบไปเห็นประกายแสงหนึ่งเข้า หลังจากที่หันไปมอง สายตาของทุกคนงานก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
บางคนถึงกับอุทานออกมาตรงๆ
บรรยากาศและอารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกชักจูงได้ง่าย ขอแค่มีคนเริ่มก่อน คนอื่นๆก็จะถูกชักจูงให้ไหลไปตามอย่างง่ายดาย
เมื่อหานซิงได้ยินเสียงสูดหายใจเข้า ในดวงตาก็มีแววขบขันอย่างรู้อกรู้ใจ จากนั้นสายตาก็มองตามทุกคนไป
หานมู่จื่อถูกพิธีกรจูงให้ค่อยๆเดินขึ้นมาบนเวทีช้าๆ
ชุดราตรีบนตัวกับมงกุฎยอดเพชรทำให้เธอเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงไฟ ราวกับเดินมาจากสะพานดวงดาวก็มิปาน แสงบนตัวสว่างจ้าจนทำให้คนไม่อาจมองตรงๆได้
ที่จริงแล้วบรรยากาศของตัวเธอค่อนข้างเย็นชา รวมถึงลักษณะระหว่างคิ้วและตาด้วย แต่ตอนที่หานซิงเลือกชุดราตรีก็คิดว่าอยากเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้น้องสาวตัวเอง ตอนที่คุยกับนักออกแบบชุดนี้ชุดราตรีชุดนี้ ตอนแรกนักออกแบบไม่เห็นด้วย บอกว่าชุดนี้เป็นชุดที่ตัวเองตั้งใจออกแบบ เลยอยากจะขายให้คนที่ถูกชะตาด้วยเท่านั้น
หลังจากที่เจรจากับอีกฝ่ายอย่างยาวนาน นักออกแบบเลยบอกว่าจะขอคิดดูอีกครั้ง ตกกลางคืนถึงจะส่งอีเมลมาบอกเขาว่ายอมตกลง
ตอนนี้พอได้เห็นหานมู่จื่อใส่ชุดนี้แล้วค่อยๆเดินขึ้นเวทีทีละก้าว หานซิงก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องปกติ
และในขณะนี้ เงาของร่างสูงที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน หน้ากากที่อยู่บนหน้าสะท้อนแสงแปลกประหลาด ภายใต้แสงไฟแสงสะท้อนกลับดูคล้ายคลึงกับชุดที่อยู่บนตัวของหานมู่จื่อ
จากตอนที่หานมู่จื่อเริ่มปรากฏตัว สายตาของเย่โม่เซินก็ติดอยู่กับตัวเธอตลอด ไม่ว่อกแว่กเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ในเวลาเดียวกัน ก็เหมือนมีมือคู่หนึ่งบีบรัดหัวใจเขาไว้แน่น
แรงสั่นไหวที่แสนบ้าคลั่ง ทำให้ลมหายใจเขาเริ่มรุนแรงขึ้นไปด้วย
คิดไม่ถึงเลยว่า……ในเสี้ยววินาทีนี้ผู้หญิงที่เขาหลงรัก จะสวยจนกระชากวิญญาณคนได้ขนาดนี้
เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
โทรศัพท์สั่นเตือนขึ้น เย่โม่เซินหยิบขึ้นมามองทีหนึ่ง เพื่อนสนิทที่อยู่อังกฤษโทรวีแชทมาหา
เขากดรับสายจากนั้นก็ยกขึ้นมาแนบข้างหู สายตายังคงไล่ตามเงาที่อยู่บนเวที ไม่อยากละสายตาแม้แต่เสี้ยวเดียว
ภาษาจีนที่ไม่คล่องแต่จริงจังหนักแน่นดังขึ้นข้างหู
“เป็นยังไงบ้าง เพื่อนเก่าของฉัน ฉันเห็นรูปที่ผู้ช่วยส่งมาให้แล้ว เธอสวยมาก เป็นคนรักของนายเหรอ ?”
เพราะว่าความเข้าใจในภาษาจีนไม่ได้ลึกพอ คำถามของชาวต่างชาติจึงตรงประเด็นมาก
เย่โม่เซินมองดูหญิงสาวที่ตอนนี้เดินไปอยู่ตรงกลางเวทีแล้ว ริมฝีปากบางที่อยู่ใต้หน้ากากยกขึ้นเบาๆ “ใช่”
“ยินดีกับนายด้วย คนที่นายรักสวยมาก เหมาะสมกับชุดที่ฉันออกแบบแล้ว”
เมื่อคิดถึงคำพูดที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้ ริมฝีปากบางของเย่โม่เซินก็ยกขึ้นอีกครั้ง “ขอบใจ มาจีนเมื่อไหร่เดี๋ยวพอไปเลี้ยงข้าว”