บทที่537 สั่งสอน
“ฉันไปเมืองจีน ? ระยะนี้คงเป็นไปไม่ได้เลย ฉันว่าถ้ามีโอกาสนายมาอังกฤษดีกว่า”
เย่โม่เซินอารมณ์ดีมาก ก็เลยพยักหน้าตอบตกลงไป
“ได้สิ”
“ถึงตอนนั้นอย่าลืมพาคนรักของนายมาด้วยนะ”
คำนี้ทำให้คนฟังรู้สึกอารมณ์ดีมาก เย่โม่เซินเลยตอบกลับไป
“วันนี้นายพูดจากดีเป็นพิเศษเลยนะ”
คนที่อยู่ฝั่งนั้นคงรู้สึกว่าตอนนี้เย่โม่เซินคุยด้วยง่าย เลยอยากจะเรียกร้องจากเขามากกว่านี้ แต่เย่โม่เซินกลับตัดสายทิ้งไปเสียก่อน
หลังจากวางสายไป เย่โม่เซินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งเป็นมุมเพื่อจะถ่ายรูป เตรียมจะถ่ายไว้หลายๆรูปเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่ใครจะรู้ว่าเขาเพิ่งจะหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เห็นหมู่คนรอบข้างต่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปของหานมู่จื่อ
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกลงทันที
เขาคิดพลาดไปอย่างนั้นเหรอ ?
ชุดราตรีเลิศหรูเมื่อสวมอยู่บนตัวเธอ ก็ต้องกลายเป็นจุดเด่นในงานเลี้ยงอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
บวกกับที่วันนี้ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงเปิดตัวฐานะของหานมู่จื่อ แต่ความจริงก็คือหานซิงอยากจะแปลงโฉมน้องสาวตัวเองเพื่อแนะนำให้ทุกคนรู้จัก
หึ หานซิง
เย่โม่เซินไม่มีอารมณ์จะถ่ายรูปแล้ว เก็บโทรศัพท์แล้วจ้องคนที่อยู่รอบๆด้วยสายตาไม่พอใจ
ข้างตัวเขาต่างก็รายล้อมไปด้วยชายโสดชาติตระกูลดีอยู่สองสามคน ถูกเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงไม่รู้ว่าจะดีใจขนาดไหน เพราะงานเลี้ยงแบบนี้ทำให้พวกเขาได้ทำความรู้จักกับเหล่าคนชั้นสูงมากมาย ที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของพวกเขาเป็นอย่างมาก
สำหรับพวกเขาแล้ว รู้จักผู้หญิงเป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น
แต่พอได้เห็นหานมู่จื่อเข้า พวกเขาก็อดใจเต้นไม่ได้ ถ่ายรูปไปพลางหัวเราะไปพลาง
“ประธานหานนี่ใช่ย่อยเลยนะ มีน้องสาวสวยขนาดนี้กลับซ่อนไว้ตลอดเพิ่งมาเปิดตัวเอาป่านนี้” หนึ่งในนั้นหลังจากถ่ายรูปของหานมู่จื่อจนนับไม่ถ้วนแล้วก็เริ่มพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
คนที่อยู่ข้างเขาก็หัวเราะหึหึ ก่อนจะพูดต่อจากเขาว่า “ไม่ใช่หรือไง ถ้าฉันมีน้องสาวที่สวยขนาดนี้ ฉันก็จะแอบซ่อนไว้เหมือนกัน เพราะยังไง พวกนายก็เหมือนสัตว์ป่าหิวกระหาย ถ้าไม่ซ่อนไว้ดีๆเกรงว่าคงโดนพวกนายหลอกล่อไปน่ะสิ”
“หึ ยังไงก็พวกเดียวกันทั้งนั้น ดูสิว่าตัวเองพูดอะไรออกมา”
“ฉันได้ยินมาว่าแขกส่วนใหญ่ที่เชิญมางานนี้ล้วนเป็นชายโสดทั้งนั้น พวกนายเดาสิว่าประธานหานมีวัตถุประสงค์อะไร ?”
“จะมีวัตถุประสงค์อะไรอีก ? ก็อยากแปลกโฉมน้องสาวเพื่อแนะนำให้ทุกคนรู้จักไง แต่ฉันก็แปลกใจนะ ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ จะไม่มีแฟนเลยเหรอ จำเป็นต้องให้พี่ชายช่วยลงมือด้วยเหรอ”
“หึ นายจะไปเข้าใจอะไร ประธานหานประคบประหงมน้องสาวขนาดนี้ แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่มีทางเข้าตาหรอก เกรงว่าคนส่วนมากที่มาในวันนี้ก็คงทำได้แค่วิ่งไล่ตาม รวมถึงพวกเราด้วย”
คนที่ถูกว่าเริ่มไม่พอใจ ก็เลยเถียงกลับไป “วิ่งไล่ตามอะไรกัน ถึงแม้ว่าในเมืองเป่ยตระกูลหานจะมีอิทธิพลเป็นวงกว้าง แต่ถ้าหากฐานะอย่างพวกเรายังต้องวิ่งไล่ตามล่ะก็ งั้นก็คงมีแต่ตระกูลเย่ของเมืองเป่ยถึงจะเข้าตาประธานหานแล้วล่ะมั้ง”
เมื่อถูกเอ่ยชื่อเย่โม่เซินก็ทำเสียงเยาะเย้ยในใจ
ถือว่าพวกนายรู้จักเจียมตัว
แต่วินาทีต่อมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะมีคนเถียงกลับมา
“ฉันว่าไม่หรอกมั้ง หลายปีมานี้บริษัทตระกูลเย่กับบริษัทตระกูลหานสู้รบตบมือกันมากี่ครั้งแล้ว ถ้าไม่รู้คงคิดว่าพวกเขามีความแค้นกันเป็นการส่วนตัว วิ่งไล่ตามยังไม่แน่หรอก พวกเราอาจจะยังมีโอกาสก็ได้ จากข่าวลือที่ฉันรู้มา น้องสาวคนนี้ของประธานหานถึงจะสวยขนาดไหน แต่น่าเสียดายที่เป็นของมือสอง”
ของมือสอง……
เย่โม่เซินหรี่ตา แววตาอันมืดมิดจ้องไปทางคนที่พูดคำนั้นออกมา
“พวกนายไม่รู้สินะ ผู้หญิงคนนี้ก่อนหน้านี้เคยแต่งงานแล้ว แต่ได้ยินมาว่าถูกทิ้ง…..โอ้ย……” เขายังพูดไม่ทันจบ คอเสื้อก็ถูกคนกระชากอย่างแรง คนข้างๆตื่นตกใจกันหมด แล้วมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
“นายเป็นใคร นายจะทำอะไร ?”
เย่โม่เซินขย้ำคอเสื้อของคนๆนั้น สายตาเหมือนกำลังมองคนตาย
“ถ้านายกล้า ก็ลองพูดคำที่นายพูดเมื่อกี้ออกมาอีกรอบสิ”
คำที่หลุดออกมาจากปากราวกับเสียงที่มาจากนรก ทำให้คนรู้สึกหนาวเย็นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
“ฉัน……ฉัน……” คนๆนั้นพูดคำว่าฉันอยู่ครึ่งวัน แต่กลับพูดออกมาเป็นประโยคไม่ได้เลย มองดูชายหนุ่มด้านหน้าที่ทั้งตัวแผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมา ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นตา แต่ว่า……กลับคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ขอโทษครับ เพื่อนของผมพูดคำไหนผิดไปถึงได้ทำให้คุณโกรธเหรอ ?” เพื่อนของชายที่ถูกกระชากคอเสื้อเห็นว่าออร่าของเย่โม่เซินไม่ธรรมดา ไม่ควรไปยั่วโมโห เลยรีบออกปากขอโทษและเอ่ยถาม
ริมฝีปากของเย่โม่เซินยกขึ้น รอยยิ้มแฝงด้วยความกระหายเลือด
“ถ้าต่อไปฉันได้ยินพวกนายพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเธออีก อย่าโทษว่าฉันแบนบริษัทของพวกนายแล้วกัน”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
ทำไมเขาถึงได้กล้าทำตัวโอหังขนาดนี้ !
ในเมืองเป่ยมีไม่กี่คนที่กล้าทำตัวโอหังและพูดจาแบบนี้ต่อหน้าบริษัทอื่นๆ นอกจาก……
ชายคนหนึ่งในนั้นที่สายตาว่องไวและเฉลียวฉลาด ดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขารีบกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะครับคุณผู้ชาย ต่อไปพวกเราจะระมัดระวัง จะไม่พูดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อคุณหานอีกแล้ว”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปมองมือของโม่เย่เซินที่ยังขย้ำอยู่ที่คอเสื้อ ก่อนจะกล่าวอ้อนวอน “คุณผู้ชายได้โปรดช่วยปล่อยมือเถอะครับ เพื่อนผมปกติก็เป็นพวกปากไม่มีหูรูดอยู่แล้วก็เท่านั้นเอง”
เย่โม่เซินกวาดตาไปมองคนที่พูดคำนั้นออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะกลับมามองคนที่อยู่ตรงหน้า เห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เลยปล่อยมือพร้อมกับยิ้มเย็นชา
“ไสหัวไป”
“ครับๆ”
คนเหล่านั้นรีบเก็บข้าวของแล้วเดินออกจากงานเลี้ยงไปเงียบๆ
คนที่ถูกกระชากคอเสื้อคนนั้น ออกจากงานไปตั้งนานแล้วแต่สติก็ยังไม่เข้าร่องเข้ารอย
“บ้าจริง ผู้ชายคนนั้นมันอะไรกัน กล้ามากระชากคอฉันแบบนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม”
“ฉันว่านายต่างหากที่ไม่อยากมีชีวิต ไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นใคร”
“ใคร ?”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด คิดว่าคงเป็นคนที่นายพูดถึงเมื่อกี้แหละ บริษัทตระกูลเย่ของเมืองเป่ย”
“บริษัทตระกูลเย่ของเมืองเป่ย ?”
ชายคนนั้นตกตะลึงทันที “จะเป็นไปได้ยังไง ผู้ชายคนนั้นสวมหน้ากากนะ เมื่อกี้ฉันยังแปลกใจอยู่เลย ทำไมถึงไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้า ใส่หน้ากากมาในงานเลี้ยงแบบนี้……”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว รีบไปเถอะ กล้าแหย่บริษัทตระกูลเย่……อย่าว่าแต่คุณหนูใหญ่ตระกูลหานเลย ต่อไปผู้หญิงธรรมดานายก็คงไม่มีทางได้แอ้ม”
ชื่อเสียงของบริษัทตระกูลเย่ทำให้คืนตกใจกลัวได้จริงๆ ถึงแม้ว่าภายในพวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจ แต่จะทำอะไรได้ล่ะ
ก็เพราะทำอะไรเขาไม่ได้ เลยทำได้แค่เลือกเดินออกมา
ฉากทะเลาะวิวาทเล็กๆนี้ไม่ได้ส่งผลเป็นวงกว้างเท่าไหร่ เพราะคนที่มาร่วมงานเลี้ยงมีอยู่มากมาย อีกอย่างในงานยังเปิดเสียงดนตรี ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆก็ได้ชมฉากทะเลาะวิวาทนี้ไปบ้าง แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินออกไปแล้ว รอบๆก็เงียบลงอีกครั้ง เลยไม่ได้พูดอะไรอีก
เพียงแต่ก็ยังมีหญิงสาวที่แอบหันกลับมามองเย่โม่เซินเงียบๆเป็นครั้งคราว สายตาฉายแววชื่นชม
หานมู่จื่อที่อยู่บนเวทีได้แนะนำตัวเองเสร็จไปแล้ว แล้วหานซิงก็พูดตามมารยาทอีกครั้ง ก็คือขอให้ทุกคนช่วยดูแลหานมู่จื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
หานมู่จื่อที่คอยรับมือคงจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย ที่สำคัญก็คือชุดที่อยู่บนตัวของเธอที่ทำให้เหนื่อย เมื่อเห็นว่าหานซิงแนะนำจบแล้ว ก็เลยขยับเข้าไปใกล้ข้างหูเขาแล้วเอ่ยถามขึ้น
“พี่คะ ในเมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้ว ฉันขอตัวไปหลังเวทีเพื่อเปลี่ยนชุดนี้ออกก่อนได้ไหมคะ ?”