บทที่ 56 คิดเองเออเอง
ไม่ได้
ก่อนหน้านี้ก็ สองครั้งแล้วที่เย่โม่เซินทำแบบนี้เพื่อเธอเอง เธอจะไม่ยอมให้เขาต้องมาแบกความผิดนี้เพราะตนอีก
คิดได้ดังนั้น เสิ่นเฉียวก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าของนายท่านเย่ เอ่ยขึ้น “นายท่านเย่ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณชายเลยค่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง”
“เธอว่าอะไรนะ” นายท่านเย่หรี่ตาพิจารณามองมาที่เสิ่นเฉียว เอ่ยขึ้นด้วยเสียงขู่ “เรื่องนี้ไปเกี่ยวอะไรกับเธอ”
“วันนั้นเป็นหนูเองที่…”
“ผมเองที่ให้เธอไปหาลู่สุนฉาง ตระกูลเย่ไม่อยากร่วมงานกันกับตระกูลลู่ หากท่านมีอะไรที่ไม่พอใจ เราจะไปคุยกันต่อที่การประชุมผู้บริหาร” เย่โม่เซินเอ่ยตัดบทเธอเสียงแข็ง
เสิ่นเฉียวชะงักนิ่งยืนอยู่ที่เดิม หันกลับมามองเย่โม่เซินอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเป็นอะไรกันแน่
ทำไมถึงไม่ให้เธอพูดความจริงต่อหน้านายท่านเย่ และยังช่วยเธอปิดบังเรื่องอีก
“คุณชายเย่”
“หุบปากไปซ่ะ” เย่โม่เซินเงยหน้ามองเล็กน้อย เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวมากขึ้น “คนตระกูลเย่เขาจะคุยกัน ถึงคิวเธอพูดแล้วหรอ”
“…”
เสิ่นเฉียวหุบปากแน่นสนิท ใบหน้าซีดเผือด รีบก้าวถอยออกมาข้างๆ จากนั้นกุมมือตัวเองไว้แน่น กัดริมฝีปากล่างจวนเลือดเกือบจะไหลออกมา
เย่หลิ่นหานมองเห็น รู้สึกเป็นห่วง
ได้ยินประโยคนั้นของเย่โม่เซิน ทำเอานายท่านเย่โกรธจนทนไม่ไหว ไอ้เด็กเวรคนนี้นิ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่อาจได้สิทธิ์ในที่ประชุมผู้บริหารได้ เพราะพวกเขาล้วนแต่สนับสนุนเย่โม่เซินกันทั้งนั้น ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา
แต่นายท่านเย่คงไม่ปล่อยไว้แบบนี้แน่นอน
“โม่เซิน แกอย่าคิดว่าฉันไม่กล้าแตะต้องแกนะ”
เย่โม่เซิน ไม่สนใจเขา เงยหน้าขึ้นมอง “บริษัทอยู่ที่นี่ ปู่…ท่านสามารถเรียกประชุมคณะผู้บริหารได้ตลอดเวลา ถ้า…พวกเขายอมฟังคุณ”
พูดจบ เขาก็แสยะยิ้มออกมา
รอยยิ้มนั้น แฝงไปด้วยความสะใจ
เห็นได้ชัดว่า เขาอยู่เหนือผู้ใด
ใช่แล้ว ต่อให้เย่โม่เซินมีตำแหน่งที่สูง มีอำนาจเด็ดขาด มักจะทำเรื่องให้ผู้คนหวั่นใจอยู่บ่อย ๆ แต่เรื่องที่จะเกิดในภายหลัง จะเป็นผลยืนยันการกระทำ ว่าเขาทำถูกต้องเสมอ
เหล่าอาวุโสในการประชุมผู้บริหารรู้ดี ตั้งแต่ที่เขาเข้าบริษัทมาก็ถูกพวกเขาดูถูกมาโดยตลอด
เย่โม่เซินเข้ามาบริหารบริษัทได้ยังไม่นาน ก็ทำแต้มได้ดีโดดเด่นเป็นอย่างมาก ทำให้ในบรรดาผู้บริหารต่างเริ่มเปลี่ยนมุมมอง รวมถึงทุกคนต่างก็ชัดเจนเป็นอย่างดี เย่โม่เซินเขาพิการแค่ขา แต่สมองไม่ได้พิการเลย
“ตระกูลลู่ ชอบให้ยั่วนักไม่ใช่หรอโม่เซิน แกทำร้ายท่านประธานลู่ ก็คงต้องให้คำอธิบายกับอีกฝ่ายหน่อย”
ชายอีกสองคนที่มาด้วยเห็นทีท่าเริ่มไม่ค่อยดี กลัวว่ามันจะร้ายแรงไปกว่านี้ จึงเอ่ยปากปรามไว้
“ใช่ๆ ไม่ร่วมมือก็พอว่า แต่ทำไมต้องถึงขั้นทำร้ายกันด้วยล่ะ”
“ยังไว้ชีวิตเขาอยู่ก็นับว่ามีเมตตามากแล้วนะ” เย่โม่เซินกล่าวขึ้นอย่างไร้เยื่อใย
คำพูดไร้เยื่อใยแบบนี้ ทำให้สีหน้าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มเปลี่ยนไป นายท่านเย่มีทีท่าที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “แก ไอ้เศษสวะ ทำไมพ่อแกถึงให้กำเนิดคนอย่างแกออกมาได้”
“ปู่” เย่หลิ่นหาน เห็นเขาเผยธาตุแท้ออกมา รีบจับไหล่ห้ามไว้ “อย่าโมโหไปเลย ที่โม่เซินเขาไม่ร่วมงานกับตระกูลลู่ เขาก็คงมีเหตุผลของเขา สายตาเขาหลักแหลมกว่าใคร อีกอย่างหนึ่งยังไงซ่ะโม่เซินก็เป็นคนตระกูลเย่ คงไม่ทำเรื่องที่ทำให้ตระกูลเราเสียผลประโยชน์หรอก ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
“ใช่หรอ มันก็ไม่แน่หรอก” เย่โม่เซินตอบกลับด้วยสายตาเยือกเย็น
เสิ่นเฉียวฟังอยู่ข้างๆ อย่างปวดหัว รู้สึกได้ว่าเย่โม่เซินมักจะยั่วโมโหคุณปู่อยู่เรื่อย คำพูดแต่ละประโยคช่างกระแทกกันอยู่เรื่อย ไม่แปลก ที่นายท่านเย่ที่โมโหขนาดนี้
“หลิ่นหาน แกฟังไว้นะ ฟังไว้ว่าเขาพูดจายังไงกับฉัน มันเหมือนคนอื่นเขาพูดซะที่ไหนกัน”
“คุณปู่ครับ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ผมจะให้คนขับรถไปส่งท่านเอง” เย่หลิ่นหานพูดแค่นี้ก่อน จากนั้นพยุงคุณปู่ลงไปด้านล่าง คนแก่สองคนเห็นสถานการณ์แบบนี้ จึงต้องตามออกมา
ห้องทำงานกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
เสิ่นเฉียวยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน สีหน้ายังคงซีดเซียว ริมฝีปากล่างมีร่องรอยของการถูกเธอกัด
“ออกไป” อยู่ดีๆ เย่โม่เซินก็ร้องสั่งขึ้น
เสิ่นเฉียวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”
เสิ่นเฉียว กะพริบตาปริบๆ และรีบหันมาทางเย่โม่เซิน “คุณช่วยฉันทำไม”
เย่โม่เซินเหลือบตาขึ้นพลางขมวดคิ้วหลังได้ยิน
“รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นปัญหาของฉัน ไม่ใช่หรอ ทำไมคุณไม่ให้ฉันพูดต่อหน้าคุณปู่ ทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดของฉันแท้ๆ”
“เหอะ” เย่โม่เซิน หัวเราะ “เธอสำคัญตัวเองเกินไปหรือเปล่า”
“อะไรนะ” เสิ่นเฉียวฟังไม่เข้าใจ เธอแค่กำลังสับสน จริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่
“อย่าให้ฉันต้องพูดเป็นครั้งที่สาม ไสหัวออกไป”
เสิ่นเฉียวกลับยังไม่อยากไป นอกจากไม่ไปไหน เธอยังก้าวเข้ามาประชิดใกล้ๆ กำมือแน่น เอ่ยขึ้น “เย่โม่เซิน คุณจะเอายังไงกันแน่ คุณเกลียดฉันไม่ใช่หรอ แต่ทำไมคุณถึงมักจะช่วยฉัน แล้วเรื่องเมื่อสักครู่นี้ เพียงให้ฉันได้บอกกับคุณปู่ให้ชัดเจน พูดให้ท่านเข้าใจ พวกคุณทั้งสองก็ไม่ต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ และนั้นมันก็เป็นความผิดของฉันเองตั้งแต่แรก”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลู่สุนฉาง มาอ้อล้อเธอ เย่โม่เซินก็ปฏิเสธการร่วมงานกับตระกูลลู่ทันที
ครั้งที่สองก็เป็นเพราะเธออีก ทำให้เย่โม่เซินต้องกำจัดลู่สุนฉาง
รวมสองเรื่องนี้แล้ว ดูยังไงๆ ก็เป็นปัญหาของเขา
แต่ว่า…เขาไม่เอ่ยอะไรเลยแม้แต่คำเดียว หนำซ้ำยังรีบเอ่ยตัดบทก่อนเธอเสียอีก
“เหอะ ผู้หญิงนี่ ช่างชอบคิดเองเออเองจริงๆ จะร่วมงานกับใครมันก็เป็นการตัดสินใจของฉัน ส่วนเธอ ฉันเย่โม่เซิน ไม่เคยต้องการให้ผู้หญิงคนไหนมาออกหน้ารับแทน ส่วนเรื่องระหว่างฉันกับคุณปู่ มันไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ เข้าใจไหม”
เสิ่นเฉียว อึ้งไป
“จะให้ฉันพูดหยาบคายไปมากกว่านี้ไหม ของมือสองอย่างเธอ เธอคงไม่ได้คิดว่าฉันทำแบบนี้เพื่อเธอหรอกนะ ในสมองของเธอคงไม่ได้จินตนาการอะไรไปมากกว่านี้หรอกนะ ถ้าคิดแล้ว ให้รีบลบออกให้หมดเลยนะ และไปให้พ้นสายตาฉันเดี๋ยวนี้”
เอ่ยจบประโยค สีหน้าของเสิ่นเฉียวซีดเผือด
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า…เขาจะพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังแบบนี้ออกมา
มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น เธอไม่เอ่ยอะไร ตัวสั่น จากนั้นริมฝีปากล่างถูกกัดลงแน่น “ฉัน ฉันเข้าใจแล้ว….”
พูดจบ เธอเหลือบตาต่ำลง ขนตาเรียวยาวบดบังทุกความรู้สึกเธอไว้
“ขอโทษด้วย เป็นฉันเองที่คิดมากเกินไป ต่อไปคงไม่มีอีกแล้วคุณชายเย่ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เย่โม่เซิน ไม่ได้เอ่ยอะไร สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่อยู่รอบกาย ที่บ่งบอกชัดเจนว่าให้เธอรีบไสหัวไปจากที่นี่
เสิ่นเฉียวกลับหลังหันเดินออกไป ยืดอกตั้งตรงขึ้น ทุกก้าว ก้าวออกไปด้วยความเสียใจ
ออกไปโดยไม่ได้ สนใจเลยว่า แววตาของคนที่อยู่ด้านหลังมันจ้องมองเธอด้วยความกระวนกระวายใจขนาดไหน
ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกันแน่ มักจะมาคาดเดาความคิดและจิตใจของเขาอยู่เรื่อย เธอยังคิดว่าเธอเป็นภรรยาของเขาอยู่รึเปล่านะ
เหอะ ช่างไม่รู้อะไรจริงๆ
แต่ทว่า เห็นสายตาที่มองต่ำอย่างผิดหวังของเธอ ในใจของเย่โม่เซินกลับใจเสียอย่างบอกไม่ถูก เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา…
ประมาณว่า รู้สึกผิด
ผู้หญิงที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ก็คงจะหาวิธีล่อลวงเขาอยู่ตลอดเวลา