บทที่ 565 เป็นไข้แล้ว
คนสองอยู่ด้วยกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อใจ
ตอนแรกเธอไม่เชื่อใจเย่โม่เซิน หลังจากเมื่อเธอคิดดูให้ชัดเจนแล้ว ดังนั้นเธอจึงยอมรับที่จะเชื่อใจเขา ให้เวลาเขา
แม้ว่าเขาจะไม่อธิบายเรื่องราวนี้ให้ตัวเองเข้าใจอย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังเฝ้ารออย่างอดทน
แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ
ความอดทนของเธอนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นความเชื่อใจต่อเย่โม่เซิน แต่กลับกลายมาเป็นคำถามของเขาแทน
ใช่แล้ว
เธอยังคงชอบเขา แต่แล้วจะเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าตอนนี้เธอยังอยู่ด้วยกันกับเขา จากนั้นหากต้องพบเจอกับเรื่องอะไรจะทำอย่างไรกัน คนสองคนอยู่ด้วยกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติต่อกันในฐานะแขกที่ไม่ต้องพบเจอเจอเรื่องต่างๆ หากเธอถูกทอดทิ้งอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอจะทำอย่างไรต่อไป
ความรู้สึกแบบนี้ หานมู่จื่อรู้สึกเหมือนความตาย เธอก็ไม่คิดจะต้องไปประสบพบเจอกับมันอีก
จะใจอ่อนไม่ได้ ห้ามใจอ่อนอย่างเด็ดขาด
*
คืนวันนั้น หานมู่จื่อสับสนอยู่ตลอดเวลาจนดึกจึงหลับไป วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเวียนหัว เสี่ยวเหยี่ยนปลุกเธอแล้วหลายครั้งแต่เธอก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้
ในที่สุดหานมู่จื่อพบว่าตนเองปวดหัวมาก ได้แต่พูดกับเสี่ยวเหยียน “ฉันอยากนอนอีกสักหน่อย เข้าบริษัทสายสักหน่อยนะ”
เสี่ยวเหยียนคิดว่าเธอคงจะหลับไม่สนิท จึงไม่ได้คิดอะไรมาก จึงได้แต่ตอบรับและพยักหน้าจากนั้นก็ออกไป
ภายในห้องก็เงียบสนิทลงอีกครั้ง หานมู่จื่อนอนอยู่ตรงนั้น ยังคงปวดหัวอย่างรุนแรง และหลับลึกลงอีกครั้ง
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนออกไป เธอก็ได้พบกัยเย่โม่เซินที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูลิฟต์ดวงตาของเธอเบิกกว้าง พูดออกไปตรง ๆ “ประธานเย่ ทำไมคุณถึงได้มาอยู่ที่นี่”
เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนี้เขากลับไปตอนดึกมาก วันนี้ทำไมถึงมาเช้าขนาดนี้
ไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปจริง ๆ
เย่โม่เซินมองไปที่การแต่งตัวของเธอ แบกกระเป๋าไว้ที่หลัง มองที่ตรงนี้อีกครั้ง เธอควรจะไปทำงานได้แล้ว แต่…ข้างหลังเธอกลับไม่มีใครเลย
เย่โม่เซินเลิกคิ้ว “เธอล่ะอยู่ไหน”
เสี่ยวเหยียนตอบกลับ “คุณหมายถึงมู่จื่อหรือ เมื่อเช้านี้ตอนฉันไปปลุกเธอ เธอก็ดูเหมือนจะยังหลับอยู่ ให้ฉันไปบริษัทก่อน”
“ยังพักผ่อนไม่เพียงพอหรือ” เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากอันบาง ดูเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรที่มีความสุข
“ก็คงจะอย่างนั้น” เสี่ยวเหยียนหดคอเข้า ไม่รู้เลยว่าเย่โม่เซินมีความสุขกับเรื่องอะไร
ติ๊ง——
ลิฟต์มาแล้ว เสี่ยวเหยียนคิดว่าเย่โม่เซินจะเข้าไป ใครจะรู้ว่ารออยู่สักพัก เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดินไม่ได้เข้าไป เสี่ยวเหยียนจึงได้แต่ก้าวเท้าเข้าไป จากนั้นก็รอสักครู่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ประธานเย่ ท่านคงจะไม่ไปรบกวนเวลาพักผ่อนของเธอนะ”
เย่โม่เซินเลิกคิ้ว ดวงตาที่ดำล้ำลึกมองไปยังเธอ
เสี่ยวเหยียนหดคอลงทันที ก้าวย้ายไปยืนที่มุม
“อย่างนั้น…ฉันขอถามหน่อย ถ้าหากว่าต้องหารละก็ ประธานเย่ให้ฉันเปิดประตูให้ไหม”
เย้ยโม้เซินเม้มริมฝีปาก “ไม่ต้อง ให้เธอพักผ่อนเถอะ”
“อ้อ” เสี่ยวเหยียนพยักหน้า เวลานี้ประตูลิฟต์กำลังจะปิด แต่เย่โม่เซินก็ยังไม่เข้าไป
นี่มันอะไรกันแน่
เย่โม่เซินจะรออยู่ที่ประตูจนกว่ามู่จื่อจะตื่นหรือ
จนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลง เสี่ยวเหยียนก็ยังคงยืนอยู่ในลิฟต์อย่างงุนงง เพียงแต่…แต่เมื่อคิดดูหลังจากนั้น เธอรู้สึกว่าตนเองไม่ยากจะยุ่งให้มากนัก ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องของมู่จื่อเอง
เมื่อคืนนี้……เธอพูดกับมู่จื่อไปมากแล้ว
หลังจากกลับไปเธอก็นอนคิดอยู่นาน คิดถึง ถ้าหากตนเองเป็นมู่จื่อล่ะก็
หลังจากมู่จื่อต้องรับความรู้สึกทุกข์ทรมานนั้น เธอยังจะเชื่อในความรักได้ไหม
กลัวว่าจะทำไม่ได้ การแต่งงานที่ล้มเหลวทั้งสองครั้ง มากพอที่จะทำให้เธอต้องสูญเสียความกล้าหาญ
ดังนั้น เธอไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดของหานมู่จื่อ จะมีสิทธิอะไรที่จะชี้นิ้วสั่งแผนการชีวิตของเธอ
เฮ้ เธอทั้งโง่และซื่อบื้อจริงๆ และยังคิดว่าที่แสดงความคิดเห็นไปแบบนั้นก็เพื่อเธอ
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทั้งเสียใจและทุกข์จริง ๆ
*
เย่โม่เซินยืนอยู่ที่ประสักพัก ยกมือขึ้นและเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ ตอนนี้ยังเช้ามากจริง ๆ อย่างนั้นก็ให้เธอนอนก่อนอีกสักพักเถอะ
เย่โม่เซินหยิบกุญแจขึ้นมาแล้วเปิดเข้าไปในบ้าน ขาทั้งสองเดินผ่านห้องเล็ก ๆไป สุดท้ายก็ไปนั่งลงบนโซฟา
เขาหยิบรีโมทคอนโทรลออกมาเพื่อเปิดทีวี บนหน้าจอไม่ใช่รายการทีวี แต่เป็นภาพของด้านหน้าห้องของหานมู่จื่อ
ในกรณีนี้ เพียงแค่จอภาพมีความเคลื่อนไหว เขาก็จะรู้ได้ทันที
เซี่ยวซู่โทรมาเขากลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้พูดถึงสองคนในอดีต ระหว่างทางได้รับข้อความ จึงรีบตรงกลับไปยังบ้านเช่าของตนเอง จึงไม่ได้ไปตามหาผู้อยู่เบื้องหลังนั้น
เซียวซู่ไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นจึงไม่ทำให้สองคนนั้นตื่นตกใจ
แต่สถานการณ์แบบนี้ทำให้เย่โม่เซินรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังนี้จะต้องไม่ธรรมดา
แต่ที่เมืองเป่ย มีเพียงไม่กี่คนที่จะมีความสามารถแบบนี้ เขาแทบจะใช้นิ้วจิ้มได้เลยว่าเป็นคนไหนบ้าง
น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานตรง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลนี้ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเป็นเวลานาน
ท้ายที่สุดแล้ว จะเป็นเขาหรือเปล่า
เหอ ให้เขาได้ตั้งหน้าตั้งตารอดูเถอะ
เวลาผ่านไปเช่นนี้จนถึงเที่ยงวัน ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ บนหน้าจอ เย่โม่เซินอยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังทำงานไปคุยโทรศัพท์ไปด้วย มองไปยังหน้าจอเป็นระยะ เมื่อเขาทำงานเสร็จเรียบร้อยก็พบว่าหน้าจอยังไม่มีความเคลื่อนไหว
เมื่อดูเวลา ก็เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว
หรือว่า ผู้หญิงคนนี้ยังนอนอยู่อย่างนั้นหรือ
ดวงตาของเย่โม่เซินมืดลงเล็กน้อย ปิดโน้ตบุ๊คแล้วลุกเดินออกไป
เขาเดินไปยังประตูบ้านของหานมู่จื่อ เม้มริมฝีปากอันบางเล็กน้อย มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋า อีกข้างหนึ่งกดกริ่งประตู
ติ้งต่อง——
เสียงของกริ่งประตูดังขึ้น ไม่มีใครมาเปิดประตู
เย่โม่เซินยืนอยู่ที่น่าประตูอย่างอดทน ประมาณหนึ่งนาทีต่อมา เขาจึงกดกริ่งประตูอีกครั้ง
ในตอนนี้ หานมู่จื่อนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ของเธอ รู้สึกง่วงอย่างอดไม่ได้
รู้สึกราวกับว่าจะได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น และมันก็ดังขึ้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร…
หานมู่จื่อเลิกผ้าห่มขึ้นด้วยความงัวเงีย ตอนลุกขึ้นยังรู้สึกเวียนหัว เกือบจะล้มคว่ำไปข้างหน้า เธอค้ำประคองโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ส่ายหัวแล้วยืนให้มั่นคง จากนั้นจับกำแพงลงไปชั้นล่างเพื่อเปิดประตู
อาจจะเป็นเพราะกำลังเวียนหัว ดังนั้นหานมู่จื่อจึงมองไม่ชัดว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นใคร จึงเปิดประตูออกโดยตรง
เย่โม่เซินซึ่งกำลังจะยกมือเพื่อกดกริ่งประตูอีกครั้ง กลับได้ยินเสียงแคร่ก ประตูก็ได้เปิดออก
แว้บแรกเห็นแก้มที่แดงระเรื่อของหานมู่จื่อและริมฝีปากที่แดงอย่างน่าตกใจ
เพียงพริบตาเดียว เย่โม่เซินก็มีสายตาที่เปลี่ยนไป ก้าวเข้าไปคว้าข้อมือของเธอไว้โดยไม่คิดอะไร “เธออยู่บ้านหรือนี่”
“ห๊ะ อะไรนะ” จู่ ๆหานมู่จื่อก็ถูกจับข้อมือ จิตใต้สำนึกต้องการจะสลัดให้หลุด แต่ร่างกายกับอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง
เย่โม่เซินได้เห็นแก้มและริมฝีปากอันแดงแสนเย้ายวนของเธอ ยังคงคิดว่าคงจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่หลังจากได้สัมผัสข้อมือของเธอ เขาก็ถึงกับตกใจ
เป็นเพราะอุณหภูมิร่างกายของหานมู่จื่อนั้นสูงจนน่าตกใจ
มองดูเธอที่กำลังงัวเงีย เย่โม่เซินจึงยกมือขึ้นแตะบนหน้าผากที่ขาวเนียนราวกับหิมะของเธอ
เพียงสัมผัสเดียว เย่โม่เซินก็ขมวดคิ้วทันที
“บ้าหรือเปล่า คุณมีไข้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือ”