บทที่ 566 เป็นทุกข์ไม่สบายใจ
ในขณะที่หานมู่จื่อกำลังเบลอด้วยความงัวเงียก็รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงของเย่โม่เซิน เธอลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ สุดท้ายก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเย่โม่เซินอย่างคลุมเครือ
แต่ในขณะนี้ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความกังวล
เธอมองเขาอย่างไม่แน่ใจ หลังจากนั้นไม่นานก็ถามเขา “เย่โม่เซินหรือ นาย..นายมาทำไมอีก ฉันให้นายกลับไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ในขณะที่พูด ลมหายใจของหานมู่จื่อก็ร้อนมาก
เย่โม่เซินระงับความโกรธเอาไว้ในใจของตนเอง จับเธอด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็เดินเข้าไปแล้วพลิกมือปิดประตู
เมื่อเห็นว่าเขาเข้ามา หานมู่จื่อก็ไม่สบายใจ โวยวายเขา ผลักเขา
“นายเข้ามาทำไม ออกไปนะ!”
เย่โม่เซินไม่สนใจคำพูดของเธอ เขาโอบพาเธอมุ่งเข้าไปข้างใน แค่โอบเธอไว้แบบนี้ ก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงมากจนน่าตกใจ
“นายออกไปนะ ออกไป!”
“อย่าโวยวายสิ!” เย่โม่เซินตำหนิออกไป ก้มมองไปที่เธออย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อถึงกับตกใจ สายตาที่เขาต้องมองเมื่อกี้นี้ทำให้ตกใจมาก นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงจะมีสติตอบสนองกลับมา จากนั้นเธอก็โวยวายอย่างหนัก
“เย่โม่เซินนายมีสิทธิอะไรกัน ฉันให้นายไปแล้วนินา นายจะกลับมาทำไมอีก นายคิดว่ามาตามติดฉันใกล้ชิดมากมายขนาดนี้ นายคิดว่าฉันจะให้อภัยกับสิ่งที่นายทำในตอนนั้นหรือไง”
ตอนที่พูดประโยคนี้ หานมู่จื่อแทบจะคำราม หลังจากคำรามเสร็จเธอก็เหนื่อยและหอบ ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง
แต่เธอยังคงต้องการที่จะผลักเย่โม่เซินออกไป
เย่โม่เซินถูกเธอทำให้หมดความอดทน จึงตรงเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมา จากนั้นก็พาเข้าไปด้านใน
หานมู่จื่อยังคงขัดขืนอยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่ความแข็งแกร่งของกำลังจะเอาที่ไหนไปสู้กับเย่โม่เซิน เขาอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็วางลงบนเตียงหนานุ่ม
จากนั้นเย่โม่เซินก็ยืดตัวขึ้นแล้วมองไปรอบด้าน จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปห้องน้ำ
เดิมทีเขาต้องการนำผ้าขนหนูไปชุบน้ำเย็นเพื่อมาประคบทำให้ร่างกายของหานมู่จื่อเย็นลง แต่ทันทีที่เข้าไปในห้องน้ำก็ได้เห็นเสื้อผ้าในตะกร้าผ้าที่หานมู่จื่อโยนทิ้งไว้เมื่อคืนตอนอาบน้ำ
ชุดชั้นในสีแดงลายลูกไม้ถูกโยนทิ้งไว้ชั้นบนสุด เย่โม่เซินเข้าไปก็เห็นได้อย่างทันที
จากนั้น…เขาก็รู้สึกเร่าร้อนเลือดสูบฉีดพล่าน
ยังจำค่ำคืนนั้นได้ เขาเป็นคนปลดตะขอชุดชั้นในตัวนั้นกับมือ ตอนนี้…
ไม่ได้!
เย่โม่เซินมีสติกลับคืนมา ตอนนี้หานมู่จื่อกำลังเป็นไข้ เขาจะอยู่ที่นี่คิดเรื่องเลอะเถอะแบบนี้หรือ
หลังจากแอบสบประมาทตัวเอง เย่โม่เซินก็รีบน้ำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นแล้วบิดออก หลังจากออกไปก็พบว่าหานมู่จื่อได้ปีนลุกขึ้นมา ในขณะนี้กำลังเตรียมออกไปนอกห้อง
สีหน้าของเย่โม่เซินเปลี่ยนไป จึงรีบไปดึงเธอกลับเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี
“จะไปไหน!”
หานมู่จื่อเป็นไข้จนรู้สึกสับสนงุนงง พูดออกไปตรง ๆ “ออกไปจากที่ที่มีคุณอยู่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเย่โม่เซินก็เริ่มเปลี่ยน เขามองเธออย่างบูดบึ้ง จึงคิดว่าคงเป็นเพราะเธอมีไข้สูงจึงพูดจาอะไรเหลวไหล ท้ายที่สุดเขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ “ถึงคุณจะอยากออกไป ก็รอให้ไข้ลดก่อนค่อยไปดีไหม”
หานมู่จื่อหันศีรษะ ชำเลืองเขาด้วยความสงสัย
“ไข้ลดแล้วนายจะปล่อยฉันไปอย่างนั้นเหรอ”
“ไข้ลดก่อนค่อยว่ากัน”
ก่อนที่เธอจะตอบสนองกลับ เย่โม่เซินก็ดึงตัวเธอขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ให้เธอนอนลง แล้วใช้ผ้าขนหนูที่ชุบน้ำเย็นนั้นปิดลงตรงหน้าผาก
หลังจากนั้นเย่โม่เซินก็ได้โทรศัพท์ ให้เซียวซู่เรียกหมอมาที่นี่
เซียวซู่ยังคงรับประทานอาหารอยู่ที่บริษัท เย่โม่เซินโทรหาเขาและกำชับสั่งเขาอีกครั้ง
เขารู้สึกเหมือนชีวิตของตัวเองกำลังจะหมดลงในทันที ในสองวันนี้เขาได้รับคำสั่งลงมาอย่างต่อเนื่อง เขาก็ตั้งใจเต็มที่ในการนำไปปฏิบัติ
แต่เย่โม่เซินดูเหมือนจะคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ จึงออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง
เซียวซู่ไม่พอใจเล็กน้อย จึงพูดคัดค้านไปโดยตรง “คุณชายเย่ เมื่อคืนนี้หลังจากที่จัดการกับสิ่งต่าง ๆ วันนี้ผมก็มาที่บริษัทตั้งแต่เช้า ตอนนี้กำลังทานข้าว ผมหิวมาทั้งวันแล้ว ผมขอกินข้าวให้หมดคำนี้ก่อนจะได้ไหมครับ”
พูดจบ ก็มีความเงียบที่ปลายสายของโทรศัพท์
เงียบเหมือนตายไปแล้ว
เซี่ยวซู่แทบจะรู้สึกได้ถึงอากาศที่เยือกเย็นที่ผ่านมาทางโทรศัพท์ เขาหยิบโทรศัพท์ออกไป หลังจากมองไปยังหน้าจอที่แสดงชื่อ บอสเย่ ทันใดนั้นแทบอยากจะร้องไห้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
สรุปว่าเขาลำพองตัวหรือว่าไปกินหัวใจหมีถุงน้ำดีเสือมาจากไหนถึงได้ทำตัวใหญ่แบบนี้
ทำไมถึงได้พูดกับบอสของตนเองด้วยคำพูดแบบนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซียวซู่ก็หยิบโทรศัพท์กลับมาที่ข้างหูด้วยมือที่สั่นเทา จากนั้นก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง
“ขอโทษครับคุณชายเย่ คำพูดทั้งหมดเมื่อสักครู่นี้คุณคงจะไม่ได้ยิน หรือถ้าได้ยินนั่นก็ไม่ใช่คำพูดของเซียวซู่ เมื่อสักครู่ท่านสั่งว่าอะไรครับ ผมจะไปทำทันที คุณหมอใช่ไหมครับ ไม่มีปัญหา พบจะพาหมอไปหาคุณอย่างโดยเร็ว”
ม้วฟ——
หลังจากเขาสัญญาว่าจะทำให้แล้ว อีกฝ่ายก็วางสายไปอย่างไร้ความปรานี
ได้ยินเสียงสัญญาณสายไม่ว่างดังมาจากโทรศัพท์ เซียวซู่ก็กดปุ่มล็อกหน้าจออย่างขมขื่น จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ใส่กลับไปในกระเป๋าเสื้อ มองดูอาหารกลางวันที่แสนอร่อยอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกอดใจไม่ได้ จึงรีบกวาดข้าวไปหลายคำอย่างรวดเร็ว แล้วนำเนื้อหลายชิ้นเข้าปาก จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
สิบห้านาทีต่อมา เซียวซู่ก็ได้พาหมอจากโรงพยาบาลมาแล้วกดกริ่งประตูบ้านของหานมู่จื่อ
เย่โม่เซินเดินมาเปิดประตูด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้”
เซียวซู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เสียใจอยู่เล็กน้อย “คุณชายเย่ ผมซิ่งรถมาที่นี่แล้วนะครับ”
เย่โม่เซินเม้มปากแน่น ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใด หันกลับไปพาหมอและเซียวซู่ขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน
เซียวซู่เดินอยู่หลังสุด มองไปยังห้องนี้อย่างเงียบๆ
นี่คือบ้านที่คุณนายน้อยซื้อมาด้วยเงินของตัวเองหรือนี่ มันเป็นห้องแบบสองชั้น และออกแบบตกแต่งอย่างดูดีทีเดียว
ดูเหมือนว่าห้าปีนี้ คุณนายน้อยจะเปลี่ยนไปมากจริงๆ
หลังจากเข้าไปในห้อง หมอก็ได้วินิจฉัยและทำการรักษาให้กับหานมู่จื่อทันที
ก่อนหน้านี้เธอยังมีแรงที่จะทะเลาะกับเย่โม่เซิน แต่ละอย่างทำให้เย่โม่เซินปล่อยไป เย่โม่เซินปลอบโยนเธอด้วยน้ำเสียงที่ดีอยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นหานมู่จื่อคงจะรู้สึกไม่สบายตัวเพราะไข้ จึงทำให้หลับสนิทไปอีกครั้ง
หมอเริ่มจากวัดอุณหภูมิให้กับหานมู่จื่อ จากนั้นก็พูดขึ้นพลางขมวดคิ้ว “ไข้สูงไปหน่อย ผมคงต้องให้น้ำเกลือดีกว่า ถ้าไข้ยังสูงแบบนี้ต่อไปก็อาจจะมีผลร้อนถึงสมองได้”
“รบกวนคุณหมอแล้วครับ จะต้องรักษาให้ดีที่สุด” เซียวซู่ที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มขึ้น
เย่โม่เซินหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ตลอด เอามือกอดอกไว้แล้วยืนพิงกำแพงด้านข้าง เมื่อเห็นหมอกำลังเอาเข็มแทงลงไปบนข้อมือของหานมู่จื่อ ตาของเขาก็กระตุก
หานมู่จื่อซึ่งกำลังนอนหลับอยู่คงจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดเช่นกัน คิ้วอันบอบบางขมวดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ตื่นขึ้นมา
เย่โม่เซินรู้สึกเป็นทุกข์ไม่สบายใจ ขยับคอไปมา แล้วก็ส่งเสียงอู้อี้ออกไปไม่กี่คำ
“เบาลงอีกหน่อย”
หมอถึงกับตกใจ รู้สึกตัวว่าเขากำลังพูดกับตัวเอง จึงพูดไปอย่างร่าเริง “พ่อหนุ่มน้อยรู้ว่ามีความเป็นห่วงแฟนตัวเอง แทงเข็มเข้าไปมันก็เป็นแบบนี้ มีหนักเบาที่ไหนกัน ต้องให้น้ำเกลือถึงจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ในที่สุดหานมู่จื่อก็ถูกฉีดน้ำเกลือเข้าไปแล้ว เย่โม่เซินเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง เซียวซู่ออกไปส่งหมอที่ประตู
“หมอครับ คุณนายน้อยของเราเป็นอย่างไรบ้าง”
“รอให้ไข้ลดลงก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”