บทที่ 568 ไม่มีวันจะทำ
หานมู่จื่อมีความฝันที่ยาวมาก ๆ ในความฝันเธอเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงไฟกำลังลุกไหม้ผิวหนังของเธอจนได้รับความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าเธอต่อสู้อย่างไร ก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้เลย
แม้กระทั่ง ร่างกายก็ยังคงจมลงไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกกลืนเข้าไปในกองไฟ
ท้ายที่สุด ก็ไม่รู้ว่ามีความเย็นสดชื่นมาจากที่ไหน ล้อมรอบตัวเธอซึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงเอาไว้ สุดท้าย…
ทะเลเพลิงก็หายไป จากนั้นเธอก็จมดิ่งสู่ท่ามกลางความมืดอีกครั้ง
เธอถูกกลิ่นหอมของกับข้าวปลุกให้ตื่น ยังไม่ทันจะลืมตาก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมของกับข้าว ในท้องเริ่มส่งเสียงร้อง เริ่มจะหิวขึ้นมานิดหน่อย
หานมู่จื่อขยับตัวเคลื่อนไหวจากนั้นก็ค่อยๆลืมตา
มีสิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตา เป็นของตกแต่งที่คุ้นเคย หานมู่จื่อมองไปรอบ ๆ ยืนยันได้ว่านี่เป็นห้องของตนเองไม่มีผิด
เธอหลับตาลงอีกครั้ง สูดหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนถูกคนจับกระแทกอย่างแรง อึดอัดมากมาย
กลิ่นหอมของข้าว…
เสี่ยวเหยียนไม่ได้ไปทำงานหรือ ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนเมื่อตอนที่ตนเองตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้าเสี่ยวเหยียนมาเคาะประตูห้องของเธอ จากนั้นเธอก็ให้เสี่ยวเหยียนไปบริษัทก่อน สายสักหน่อยเธอค่อยรีบเข้าไป
ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้วนี่
เมื่อนึกตรงนี้ หานมู่จื่อก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง และยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนเตียง
อาจจะเพราะลุกขึ้นเร็วเกินไป ดังนั้นหานมู่จื่อจึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ดวงตาของเธอมืดมน ร่างกายเอนไปด้านหลังอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ศีรษะตกลงบนหมอนนุ่มๆ ใช้เวลาสักพักจึงฟื้นกลับมาสดใสชัดเจน
ในขณะเดียวกันเสียงต่ำทุ้มของผู้ชายก็ดังขึ้นมา ด้วยความกังวลเล็กน้อย “ตื่นแล้วหรือ”
เสียงนี้…
คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
หานมู่จื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเย่โม่เซินปรากฏขึ้นตรงหน้า
ทำไมถึงเป็นเขา
หานมู่จื่อคิดว่าตนเองเห็นเขาในความฝัน และยังรีบไล่เขาออกไป
ที่แท้ก็ไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นหรือ
เย่โม่เซินเห็นว่าสีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีนัก เม้มปากแล้วยื่นมือไปประคองเธอลุกขึ้นมา จากนั้นก็เอาหมอนมาหนุนหลังให้เธอ พูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “งี่เง่านักหรือ เพิ่งจะฟื้นต้องรีบลุกอะไรขนาดนั้น”
เย่โม่เซินเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดขนาดนี้…
ริมฝีปากอันซีดเซียวของหานมู่จื่อเริ่มขยับ เมื่อต้องการจะพูดอะไรบางคำ เย่โม่เซินก็หยิบแก้วน้ำที่เตรียมเอาไว้ด้านข้างยื่นส่งให้เธอ “ดื่มน้ำ”
หานมู่จื่อ “……”
เธอรับแก้วน้ำมา ในใจรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
แม้ว่าจะดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด แต่เมื่อจะให้เธอดื่มน้ำ น้ำเสียงนั้นก็ยังคงเหมือนการออกคำสั่ง
ผู้ชายคนนี้เกิดมาเป็นบุคลิกนายพล
หานมู่จื่อมีอาการคอแห้ง เมื่อได้ดื่มน้ำไปครึ่งแก้วทำให้ลำคอและริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้น จากนั้นก็ยื่นแก้วกลับไป
เขารับมันมาเหมือนปกติ จากนั้นก็วางเอาไว้ด้านข้าง จากนั้นก็ลุกไปที่โต๊ะด้านข้างเพื่อตักโจ๊กให้เธอ
อาการเวียนหัวหน้ามืดเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้กลับไม่เป็นแล้ว หานมู่จื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานช่วงพักเที่ยง เสี่ยวเหยียนคงจะยังไม่กลับมา
โจ๊กหม้อนั้นที่อยู่บนโต๊ะมาจากที่ไหนกัน
เขาต้มเองหรือ
หานมู่จื่อมองไปยังเย่โม่เซิน ด้วยความสงสัยขณะเดียวกันเขาก็กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโจ๊ก นั่งลงตรงหน้าตนเอง หยิบช้อนและตักขึ้นมาเป่าให้เย็นลงแล้วป้อนเข้าริมฝีปากของตนเอง
“……” หานมู่จื่อไม่กล้าที่จะกิน สายตามองเขาด้วยความสงสัย
เย่โม่เซินฉลาดมาก สามารถรับข้อความจากสายตาของเธอได้อย่างรวดเร็ว ริมฝีปากอันบางของเขางอขึ้นเล็กน้อย “โจ๊กนี้ผมให้พ่อครัวที่บ้านทำส่งมาให้ ดังนั้นคุณไม่ต้องกลัวว่าผมจะวางยาคุณ
หานมู่จื่อ “……”
“มา” เขานำช้อนและชามเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอ “อ้าปากกินอะไรหน่อย”
หานมู่จื่อ “ฉันไม่ใช่เด็ก!”
“แต่คุณกำลังป่วย” สายตาและการกระทำของเย่โม่เซินล้วนแต่ดูยึดมั่น ดูเหมือนว่าหานมู่จื่อพูดอะไรก็ล้วนแต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม
ครั้งแรก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดูแลเธอด้วยตัวเอง
ทำไมถึงรู้สึกแปลกขนาดนี้ หานมู่จื่อรู้สึกไม่เคยชิน เธอหันศีรษะ ไม่ยินยอมกินโจ๊กคำนั้น
เมื่อเห็นว่าเธอดื้อรั้น ดวงตาที่ดำสนิทของเย่โม่เซินก็ปรากฏเป็นความรำคาญ เอื้อมมือไปบีบคางเธอโดยตรง บังคับให้เธอหันศีรษะมา
“เชื่อฟังหน่อย”
คางนั้นได้ถูกบีบ อีกทั้งยังค่อนข้างแรง หานมู่จื่อพยายามขัดขืนอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถหลีกออกได้ หานมู่จื่อจึงพูดด้วยความโกรธ “นายปล่อยฉันนะ ฉันไม่ต้องการให้นายป้อน”
ริมฝีปากอันบางของเย่โม่เซินเม้มแน่จนเป็นเส้นตรง ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“คุณจะดื้อกับผมหรือ เป็นเพราะผมป้อนคุณ ดังนั้นคุณจึงไม่กินอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่” หานมู่จื่อส่ายหน้า “ฉันไม่ชินกับการให้คนอื่นมาป้อนอาหารให้กิน อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่เด็ก ฉันมีมือ”
แต่เย่โม่เซินเมื่อได้ฟังกลับรู้สึกว่า เธอกำลังต่อต้านตนเอง เพราะตั้งแต่เริ่มตนจนตอนนี้ ทุกการกระทำของเธอ ล้วนแต่กำลังต่อต้านตนเอง ดังนั้นตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่เธออ่อนแออยู่แบบนี้แล้ว
“ไม่ชินหรือ อย่างนั้นตั้งแต่วันนี้ไปก็เริ่มชินได้แล้ว!”
“เย่โม่เซินนายป่วยหรือไง ทำไมฉันจะต้องชินด้วย” หานมู่จื่อโกรธเล็กน้อย ในดวงตาที่สวยงามเริ่มมีความโกรธลุกเป็นไฟ
เย่โม่เซินหัวเราะอย่างเย็นชา มือที่บีบคางของเธอกระชับขึ้นเล็กน้อย เสียงก็ทุ้มหนักลง
“คุณคิดว่าผมป่วยอย่างนั้นหรือ ตอนนี้คนที่ป่วยนอนอยู่บนเตียงเป็นใครกันแน่ เด็กโง่ที่แม้แต่ร่างกายตัวเองยังดูแลไม่ได้ ยังจะพูดว่าตนเองไม่ใช่เด็ก คุณก็เป็นแบบนี้ แล้วจะดูแลลูกชายได้อย่างไร”
หานมู่จื่อที่กำลังโกรธอยู่เมื่อกี้นี้ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอจ้องมองไปยังเย่โม่เซินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“นาย นายรู้ได้อย่างไร”
ทำไมถึงรู้ว่าเป็นลูกชาย….
คิดอยู่ในใจ สีหน้าของหานมู่จื่อเริ่มซีดลง “นายสืบเรื่องฉันหรือ เย่โม่เซิน นายไม่รักษาคำพูด!”
ได้ยินแบบนั้น ดวงตาที่ลึกล้ำของเย่โม่เซินก็มัวลงเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาค่อนข้างดูถูกตัวเอง
“นึกไม่ถึงว่าใยสายตาของคุณ ผมจะเป็นคนไม่รักษาคำพูด มู่จื่อ เมื่อไรที่คุณจะเชื่อใจผมบ้าง”
“แล้วนายล่ะ” หานมู่จื่อส่งเสียงดังขึ้น “นายต้องการให้ฉันเชื่อใจนาย แล้วนายทำเรื่องอะไรให้ฉันเชื่อใจนายบ้าง ตอนนั้นคุณทำให้ฉันต้องเจ็บปวดอย่างไรคุณรู้แก่ใจบ้างไหม ให้สัญญาว่าจะไม่สืบฉันไว้อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ก็กลับมาตามสืบฉัน! นายยังจะกล้าบอกให้ฉันเชื่อใจนายอีกหรือ”
อารมณ์ของเธอรู้สึกตื่นเต้นมาก เย่โม่เซินก็อารมณ์ไปดีไปถึงไหนต่อไหน ตอบโต้เธอกลับ
“ผมก็แค่พบเรื่องนี้ตอนที่ไปเปลี่ยนรองเท้าที่ประตู พวกนั้นเป็นรองเท้าของเด็กผู้ชาย ทำไมคุณถึงคิดว่าผมโง่นักหนา หรือคุณเองประเมินตัวเองต่ำเกินไป”
ความโกรธที่มีมากในตอนแรก หลังจากได้ยินคำพูดที่เย่โม่เซินบอกว่าได้เห็นรองเท้าจึงรู้ว่าเธอมีลูกชาย ความโกรธที่มีก็ดับลงเหมือนถูกน้ำทั้งอ่าง
เธอแข็งทื่ออยู่กับที่ มองไปยังดวงตาและการแสดงออกที่ค่อนข้างเจ็บปวดของเย่โม่เซิน
ทันใดนั้นความเงียบก็ครอบงำไปในขณะนี้ หานมู่จื่อได้ยินแต่เพียงเสียงหายใจหอบของตัวเอง
ช่วงระยะหนึ่ง เย่โม่เซินรู้สึกยอมแพ้ ทอดสายตาลง
“อย่าโกรธไปเลย ผมเคยพูดไปแล้วว่าจะไม่สืบคุณ ก็ไม่มีวันทำ ต่อให้มีคนไปสืบมาแล้วเอาข้อมูลมาให้ผมดู ผมก็ไม่มีวันจะดู ดังนั้น ตอนนี้คุณจะกินอะไรได้หรือยัง”
ลักษณะท่าทางที่ดูอ่อนน้อมขนาดนี้……
จู่ ๆดวงตาของหานมู่จื่อก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที จากนั้นเธอก็ตบไปยังมือของเย่โม่เซินอย่างโกรธเกรี้ยว ทำไปด้วยความโกรธจนบังเอิญโดนชามในมือเขาพลิกคว่ำ
“ออกไป ไสหัวไปให้พ้น!”