บทที่ 569 แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะใจสื่อถึงกัน
เพล้ง!!
เย่โม่เซินคิดไม่ถึง ชามโจ๊กที่อยู่ในมือตกลงกระทบกับพื้นแบบนี้ เสียงของชามเซรามิกที่ตกกระทบพื้นทำให้เขาตกตะลึงอยู่ในใจ ในขณะเดียวกันก็กระทบหัวใจของหานมู่จื่อเช่นกัน
เธอหันศีรษะ หันหลังและต่อว่าเย่โม่เซิน
“ฉันไม่ต้องการให้นายมาทำหน้าซื่อใจคดอยู่ที่นี่ ฉันป่วยฉันก็ดูแลตัวฉันเองได้ แม้ว่าฉันจะป่วยตาย ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย ฉันยิ่งไม่ต้องการให้นายมาอยู่ที่นี่คอยป้อนโจ๊กให้ ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น!”
ด้านหลังของเธอเงียบสงัด ราวกับว่าไม่มีคนอยู่
แต่มีเพียงหานมู่จื่อเท่านั้นทีรู้ เย่โม่เซินคงจะได้รับความบาดเจ็บอย่างสาหัสจากเธอ
ในขณะที่เธอกำลังโกรธ และดุด่าต่อว่าเขา น้ำตาของตัวเองก็ไหลออกมาจากมุมตา ไม่สามารถหยุดไว้ได้
เธอไม่ต้องการ ไม่ต้องการเห็นเย่โม่เซินมาทำตัวอ่อนน้อมกับตัวเองขนาดนี้
เย่โม่เซินคนนี้เดิมทีจะต้องขัดขืนตัวเองก่อนหน้านี้ เขาไม่ใช่คนแบบนี้ เขาคือผู้ทรงอิทธิพลเก่งกาจน่าเกรงขามในสนามการค้า ไม่ใช่คนที่จะมายอมอ่อนน้อมยอมรับตัวเองแบบนี้
เธอไม่ต้องการเห็นเขาที่เป็นแบบนี้
หานมู่จื่อยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาของตัวเอง จากนั้นก็เอนตัวนอนลงโดยหันหลังให้กับเย่โม่เซิน ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอง พยายามฟังเสียงที่เกิดขึ้นทั้งหมดในบริเวณ
ภายในห้องอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีเสียงเล็กน้อย
เป็นเสียงของเครื่องเซรามิกกระทบกัน เบามาก แต่ในห้องที่เงียบสงบมันก็เพียงพอที่จะทำให้ได้ยินอย่างชัดเจน
เย่โม่เซินกำลังเก็บกวาดเศษกระเบื้องเซรามิกที่อยู่บนพื้นหรือ ดวงตาของหานมู่จื่อเต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น
เขาจะลำบากแบบนี้ไปทำไมกัน ลำบากทำไม
เธอปฏิบัติแบบนี้กับเขามานานแล้ว เขาแค่หันกลับออกไปโดยตรงไม่ได้หรือ
เพราะอะไรจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อแบกรับความน้อยเนื้อต่ำใจด้วย
หานมู่จื่อหลับตาลง พยายามปล่อยให้ตนเองเลิกสนใจเสียงเหล่านี้ ในที่สุดห้องก็เงียบลง หานมู่จื่อค่อยๆโผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่มอย่างเงียบๆ
เธอสูดหายใจเข้า ลุกขึ้นนั่งก็พบว่าพื้นถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดแล้ว
ทำแบบนี้กับเย่โม่เซิน ในใจของเธอไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับจุกแน่น
แต่ ก็ไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับเย่โม่เซินอย่างยิ้มแย้มได้
เป็นเรื่องยากลำบากทั้งสองอย่าง
สิ่งที่เธอหวังไว้มากที่สุดในตอนนี้ ก็คือเขาไม่ควรจะปรากฏตัวต่อหน้าตัวเองอีก
เพราะ หากเขาปรากฏตัว หัวใจของตนเองก็จะกลายเป็นความยุ่งเหยิง
ไม่รู้เลยว่าควรจะเลือกอย่างไรดี
ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ หานมู่จื่อเข้าไปในห้องน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อออกมาก็พบกับเย่โม่เซินที่นำชามใบใหม่มาให้ แต่คราวนี้เขาไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เพียงแต่พูดด้วยเสียงขรึมว่า “เนื่องจากคุณไม่อยากจะเจอผม อย่างนั้นผมก็ขอตัวก่อน ถ้วยผมหยิบมาให้คุณใหม่แล้ว โจ๊กคุณอย่าลืมกินนะ”
หานมู่จื่อ “……”
เธอไม่ได้ตอบรับคำพูดของเขา ได้แต่หันศีรษะไป ไม่มองเขาแม้แต่น้อย
จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เป็นเสียงการเดินจากไปของเย่โม่เซิน
ในที่สุดหานมู่จื่อก็อดไม่ได้ แอบหันศีรษะกลับไปมองด้านหลังของเขา
หลังที่แข็งแกร่งและทรงพลังของเขา ในตอนนี้กลับปรากฏเป็นความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
ได้ยินเสียงปิดประตูที่ชั้นล่าง หานมู่จื่อก็ขยับตัว จากนั้นก็ก้าวไปไปข้างหน้าโต๊ะ
โจ๊กที่ใส่ไว้ในหม้อรักษาอุณหภูมิไว้ เย่โม่เซินเป็นคนเอาขึ้นมาวางไว้ในห้องของเธอ เพื่อสะดวกที่เธอจะได้กิน
ชามถูกหยิบขึ้นมาใหม่แล้ว หานมู่จื่อนั่งลง ยกชามให้กับตนเอง ในที่สุดก็หยิบช้อนตักเข้าปาก
โจ๊กร้อนๆมีกลิ่นหอมของข้าวเล็กน้อย เอ้อระเหยโชยอยู่ระหว่างปากและฟัน หานมู่จื่อกินคำแล้วคำเล่า น้ำตาก็ไหลรินอย่างไม่มีเหตุผล
ในที่สุด เธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องเสียงดังออกมา
ชั่วช้า!
เย่โม่เซินคนชั่วช้า เขาหันกลับไปแล้วจากไปไม่ได้หรือไง
ทำไมต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้เพื่อเธอด้วย……
เธอได้บอกไปชัดเจนแล้วว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจจะยอมรับเขาได้
เพราะอะไร……
*
หลังจากเย่โม่เซินออกไปแล้ว จากนั้นก็เดินไปยังห้องตรงข้าม เมื่อกลับเข้าถึงห้องสิ่งแรกที่ทำคือการกดปุ่มเปิดหน้าจอทีวี จากนั้นก็นั่งลงเฝ้าดู
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆเขาก็รู้สึกไม่สบายในท้อง เย่โม่เซินยื่นมือออกไปปิดตรงหน้าท้องของตัวเอง เม้มริมฝีปากบางไว้แน่น
ช่วงเวลาหลังจากนั้น เขาก็หัวเราะขึ้นมา แล้วเอนตัวลงพิงโซฟา
“บ้าไปแล้ว ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
*
ในตอนเย็น หานมู่จื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้สึกเวียนหัวแล้ว จึงเปิดประตูและเตรียมลงไปเดินเล่นที่ชั้นล่าง
เดิมทีหลังจากเรื่องเมื่อคืนวันนี้เธอก็ไม่อยากจะออกไปไหน แต่…ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน คนพวกนั้นคงไม่ก่อกวนในเวลานี้
อีกอย่าง การนั่งรอความตายก็ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
แต่เมื่อหานมู่จื่อเดินออกจากประตูไปเพื่อรอลิฟต์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจากฝั่งตรงข้าม
เธอสับสนอยู่เล็กน้อย เธอย้ายมาที่นี่ตั้งนานแล้วไม่เคยเห็นฝั่งตรงข้าม เธอคิดว่าคงจะไม่มีคนอยู่ข้างใน แต่เมื่อลองคิดดู เธอและเสี่ยวเหยียนออกไปทำงานแต่เช้าแต่จะกลับมาในตอนกลางคืน ไม่แน่ว่าเวลาของฝั่งตรงข้ามกับเวลาของพวกเธอคงจะไม่ประจวบเหมาะกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ไม่เคยได้พบกัน”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ส่ายหน้าเล็กน้อย จังหวะเดียวกันนั้นก็เห็นว่าลิฟต์ได้ขึ้นมาถึงชั้นของตนเอง
เธอจัดระเบียบทรงผมของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มก้าวเตรียมจะเข้าไปด้านใน
ติ๊ง——
หลังจากประตูลิฟต์เปิดออก หานมู่จื่อเริ่มจะขยับฝีก้าว ข้อมือก็ถูกคนจับเอาไว้
“ไข้ของเธอเพิ่งจะลดได้ไม่นาน ยังอยากจะออกไปอีกหรือ”
เสียงที่ดูเยือกเย็นดังขึ้นมาในหู หานมู่จื่อหันไปด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้เห็นผู้ชายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของตนเอง
“นาย ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
มองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของเย่โม่เซิน หานมู่จื่อก็ต้องตกใจ หลังจากตกใจเธอก็มองไปยังประตูห้องตรงข้ามที่ด้านหลังเขา ขยับริมฝีปาก “นาย…นายอยู่ที่นี่หรือ”
ถ้าเขาไม่ได้อยู่ที่ฝั่งตรงข้าม แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมาโผล่อยู่ที่นี่
แต่ ถ้าเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม อย่างนั้นทำไมเป็นเวลานานขนาดนี้เธอถึงไม่เคยได้พบเจอกับเขามาก่อนเลย
สรุปว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นแผนที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรก
ราวกับจะช่วยเธอคลายข้อสงสัย เย่โม่เซินอธิบายอย่างแผ่วเบา “หลังจากเกิดเรื่องนี้ ผมก็ย้ายมาอยู่ที่นี่”
หานมู่จื่อ “……”
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
อย่างนั้นความเร็วเขาก็ดูจะรวดเร็วเกินไปหน่อย และ…สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “แล้วคุณรู้ได้อย่างไรอีกว่าฉันกำลังจะออกไป”
เห็นชัดว่าปิดประตูไปแล้วไม่ใช่หรือ
เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะคอยยืนอยู่ข้างประตูเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวของตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เพียงมันแปลกเกินไป และด้วยความฉลาดที่แสนจะลึกล้ำของเขาแล้ว เขาไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้
อย่างนั้น…ทำไมเขาถึงรู้ว่าตัวเองกำลังจะออกไป เหลือความเป็นไปได้อยู่เพียงสิ่งเดียวแล้ว
สายตาของหานมู่จื่อมองสอดส่องไปรอบด้าน ที่หน้าประตูบ้านของตัวเอง และที่ประตูบ้านของเขา
เย่โม่เซินเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเธอ เอามือล้วงกระเป๋าแล้วเอาหลังพิงกำแพง
แน่นอนว่าเขารู้ว่าเธอกำลังมองหาอะไร เพียงแต่เขายังไม่อยากที่จะบอกเธอ
เกรงว่าถ้าถึงเวลานั้นเธอจะกลายเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง และเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเธอได้อีกต่อไป
“ไม่ต้องไปหาแล้ว ผมไม่ได้ติดตั้งกล้องไว้หรอก ที่รู้ว่าคุณออกมา แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะใจสื่อถึงกัน”
ได้ฟังดังนั้น หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “นายคิดว่าฉันโง่หรือไง”