บทที่ 573 ได้เจอเข้า
“เย่ ประธานเย่” เสี่ยวเหยียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย พยายามเรียกอีกฝ่าย
สายตาที่เยือกเย็นของเย่โม่เซิน กวาดมองไปรอบๆ แต่ไม่ได้เห็นร่างของหานมู่จื่อ แววตาของเขาเย็บเฉียบ ถามอย่างเย็นชา “เธออยู่ที่ไหน?”
เสี่ยวเหยียนไม่ลืมสิ่งที่หานมู่จื่อบอกไว้กับเธอในเมื่อกี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่โม่เซินที่มีบุคลิกทรงพลังอย่างยิ่ง เธอยังคงมีความอ่อนแอและรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย ดังนั้นดวงตาของเธอ จึงมองไปที่ห้องรับรองโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นถึงได้พูดขึ้นเสียงเบา “มู่จื่อบอกว่า ให้คุณไปรอเธอที่ข้างล่างห้านาที หลังจากห้านาที เธอก็จะลงไปชั้นล่างหาประธานเย่”
“ห้านาที?” เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เย่โม่เซินก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง ดวงตาที่ดุดันก็เผยให้เห็นถึงความอันตราย ริมฝีปากบางของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย “ฉันให้เวลาเธอมากขนาดนั้นแล้ว ยังอยากต่อรองกับฉันอีก?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ
ผู้ชายคนนี้หล่อมากจริงๆ ยังดีที่เธอชอบหานชิงแล้ว ฮืมๆๆ!
“ประธานเย่ มู่จื่อบอกว่าห้านาทีจะลงไป ก็ต้องลงไปแน่นอน คุณเชื่อเธอสักครั้งเถอะ”
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของกับเขาในเมื่อกี้เลย
เหอะ
ความเย็นชาในดวงตาของเย่โม่เซิน ลึกลงไปอีกหน่อย จ้องมองที่ประตูห้องรับรอง
สีหน้าของเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนไป เส้นประสาททั่วร่างกายตึงเครียดในทันที
สายตาของเขามองที่ไหน? หรือว่าเขาต้องการเข้าไปในห้องรับรอง?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ขาตระหง่านของเย่โม่เซิน ก็ได้ขยับแล้ว และได้ เดินไปที่ห้องรับรองจริงๆด้วย
“เย่ เย่ ประธานเย่!” เสี่ยวเหยียนประหม่ามากจนสีหน้าขาวซีด เด้งตัวจากที่นั่งทันที วินาทีต่อมา เธอก็ก้าวไปข้างหน้าขวางทางเดินของเย่โม่เซินไว้
“คุณจะทำอะไร?”
เย่โม่เซินมองเสี่ยวเหยียนที่ขวางอยู่ตรงหน้าตัวเอง ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“หลีกไป”
“ไม่ ไม่ได้!” เสี่ยวเหยียนพูดติดอ่างเล็กน้อย กางมือออก ขวางไว้ตรงหน้าเขา เธอได้สัญญากับมู่จื่อไว้แล้ว ว่าจะช่วยเธอปกปิดให้ดี ถ้าเย่โม่เซินพุ่งเข้าไปในเวลานี้ ถึงเวลานั้น เธอจะพูดกับมู่จื่ออย่างไร?
เย่โม่เซินขมวดคิ้วมุ่นเพิ่มอีก มองเสี่ยวเหยียนที่ขวางอยู่ตรงหน้าตัวเอง แววตารู้สึกสงสัยขึ้นมา
ทำไมสีหน้าและแววตาของผู้หญิงคนนี้ ถึงได้ลุกลี้ลุกลนอย่างนี้ ราวกับว่ากลัวเขาจะบุกเข้าไปในห้องรับรอง
หรือว่าในห้องรับรอง มีอะไรที่ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สีหน้าของเย่โม่เซินก็บึ้งตึงในทันที พูดอย่างเย็นชา “ฉันพูดครั้งสุดท้าย หลบไป”
ดวงตาที่เยือกเย็นเช่นนี้ ทำให้เสี่ยวเหยียนขาสั่นสะท้านเลยจริงๆ แต่เธอได้ตกลงกับมู่จื่อแล้ว ดังนั้นจึงต้องยืนอยู่ในที่เดิมอย่างแข็งแกร่ง แล้วพูดว่า “ประธานเย่ สิ่งที่มู่จื่อบอกให้ฉันสื่อนั้น ก็หมายถึงแบบนี้ ก็แค่เวลาเพียงห้านาที เธอจะต้องลงไปตรงเวลาแน่นอน”
“ห้านาที? เหอะ” เย่โม่เซินยิ้มเยาะ “งั้นฉันก็เข้าไปในห้องรับรองรอเธอห้านาที”
เย่โม่เซินเห็นว่าเธอยังคงยืนขวางทางตัวเองไว้ ไม่มีความอดทนที่จะมาเสียเวลาจัดการกับเสี่ยวเหยียนแล้วจริงๆ แววตาที่คมเฉียบดุจใบมีด จ้องที่ใบหน้าเธอ “หลบไม่หลบ?”
เสี่ยวเหยียน “……”
เธอกลืนน้ำลายลงคอ ม่านตาขยายเล็กน้อย
แอ๊ด——
และในเวลานี้ ประตูห้องรับรองก็เปิดออก หานมู่จื่อเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่ดี
“ฉันแค่ให้คุณรอห้านาทีเท่านั้น คุณจำเป็นต้องทำให้เสี่ยวเหยียนลำบากใจด้วยเหรอ?”
เธอพลิกมือปิดประตูห้องรับรอง เงยหน้าขึ้นมองเย่โม่เซิน อย่างเย็นชา
การเคลื่อนไหวของเธอ เย่โม่เซินก็ได้สังเกตเห็นโดยปริยาย เข้าไปในห้องรับรอง ออกมาก็ปิดประตูเลย เขาก้าวไปข้างหน้าโดยตรง แต่หานมู่จื่อกลับสะดุดล้มกะทันหัน เกือบจะล้มลงต่อหน้าเขา
เย่โม่เซินพยุงเธอไว้อย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วมุ่น “เป็นอะไร?”
หานมู่จื่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เวียนหัวนิดหน่อย”
“เวียนหัว?”
เธอพยักหน้าเบาๆ นึกอะไรออกในทันใด ผลักเย่โม่เซิน ออกไปอย่างแรง พูดขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉันก็แค่เวียนหัวอยากจะนอนในนั้นสักพัก คุณต้องบังคับให้ฉันมาเปิดประตูให้คุณจนได้ใช่ไหม?”
เย่โม่เซินที่เมื่อกี้ยังมีความสงสัยในใจ ตอนนี้หลังจากที่ได้ยินเธอพูดว่าไม่สบาย ความสงสัยเพียงเล็กน้อยในใจของเย่โม่เซินก็หายไปแล้ว
ดวงตาสีดำสนิทของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย หลังจากที่ถูกผลักออก ก็ก้าวตรงไปคว้าข้อมือของหานมู่จื่อทันที กอดเธอเข้ามาในอกของตัวเอง แม้ว่าน้ำเสียงจะดูแข็งกร้าว แต่ก็ห่วงใยมากกว่า
“ไม่สบาย ทำไมไม่โทรเรียกฉัน?”
“เรียกคุณทำไม?” เดิมทีหานมู่จื่ออยากจะผลักเขาออกไป แต่คิดไปคิดมา ในที่สุดเขาก็คลายความสงสัยออกไป เอาสมาธิทั้งหมดมาสนใจกับสภาพร่างกายของตัวเอง ก็เลยไม่ได้ผลักเขาออกไป ร่างกายนั้นยังพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง
“เรียกฉันทำไม?” คำพูดนี้เย่โม่เซินฟังแล้วไม่พอใจนัก ในวินาทีต่อมา ก็อุ้มเธอขึ้นมาโดยตรง เสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้น จากนั้นก็ปิดปากตัวเองแล้วถอยไปข้างๆโดยจิตใต้สำนึก เธอเป็นผู้ชมดีกว่า
“คุณบอกว่าเรียกฉันทำไม?” เย่โม่เซินมองเธออย่างจนใจ จากนั้นก็อุ้มเธอแล้วเดินออกไปโดยตรง พร้อมทิ้งประโยคไว้ว่า “ฉันพาตัวไปก่อน”
เสี่ยวเหยียนสักพักใหญ่ถึงได้รู้ตัวว่า ประโยคนี้กำลังพูดกับเธอ เธอส่งเสียงคำหนึ่ง ถือเป็นการตอบกลับแล้ว แล้วก็เห็น หานมู่จื่อทำท่าทางมือส่งสัญญาณให้เธอ เสี่ยวเหยียนก็ตอบกลับโดยการใบ้ด้วยปากทันที วางใจได้เลย
หานมู่จื่อถูกเย่โม่เซินอุ้มออกไปจากห้องทำงาน จนกระทั่งมาถึงหน้าลิฟต์ เธอถึงได้แสดงอาการขัดขืน
“ปล่อยฉันลง ฉันเดินเองได้”
เมื่อกี้ไม่มีการต่อต้านเลย เพราะเธอต้องการกำจัดความระแวงของเย่โม่เซิน
เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับเสี่ยวหมี่โต้วที่นี่
เย่โม่เซินขมวดคิ้วมุ่น และไม่สนใจคำพูดของเธอเลย สองมือยังคงอุ้มเธอไว้แน่น
“เย่โม่เซิน!” หานมู่จื่อดันหน้าอกของเขา “คุณรีบปล่อยฉันลงเร็ว แบบนี้เดี๋ยวจะถูกคนอื่นเห็นเข้า”
“เห็นเข้าก็เห็นเข้า เย่โม่เซินก้มหน้า ดวงตาที่มืดสนิท จ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง “ฉันไม่ได้สนใจเลย”
“คุณไม่สนฉันสน”
นี่คือบริษัทของเธอนะ หากให้พนักงานของเธอได้เห็นเข้า แล้วต่อไปเธอจะมีหน้าอะไรที่จะไปสู้หน้าพวกเธอ? อีกอย่าง……เธอก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกว่า เธอกับเย่โม่เซินเกี่ยวข้องอะไรกัน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็พยายามดิ้นรนอย่างหนัก
รู้สึกถึงเธอดิ้นอยู่ในอ้อมกอด เย่โม่เซินขมวดคิ้วอย่างพอใจ “คุณป่วยขนาดนี้แล้ว ทำงานยี่สิบนาที ก็เหนื่อยจนล้มลง ยังจะมาดื้อกับฉันอีก?”
เธอไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นนั้นสักหน่อย แค่โกหกเขาเท่านั้น
หานมู่จื่อแอบบ่นในใจ นึกถึงฉากที่น่าหวาดเสียวในห้องรับรองเมื่อครู่นี้
ตอนนั้นหลังจากที่เธอดึงเสี่ยวหมี่โต้วเข้าไปในห้องรับรอง แล้วก็ได้ล็อกประตูห้องรับรองด้วย เมื่อหันกลับมา ก็เห็น เสี่ยวหมี่โต้วมองเธอด้วยใบหน้าสงสัย
“หม่ามี๊ หม่ามี๊กำลังทำอะไร?”
หานมู่จื่อดึงมือกลับอย่างส่องเล็กน้อย แล้วยิ้มอ่อนๆ “เสี่ยวหมี่โต้ว หม่ามี๊อยากจะคุยกับหนูเรื่องหนึ่ง หนูสัญญากับหม่ามี๊ได้ไหม?”
เสี่ยวหมี่โต้วกะพริบตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ราวกับลูกแก้วสีดำ ถามด้วยน้ำเสียงบริสุทธิ์ “หม่ามี๊จะคุยเรื่องอะไรกับหนู?”