บทที่ 574 น่ารักน่าเอ็นดู
“หม่ามี๊ยังมีเรื่องต้องไปทำ เดี๋ยวก็ต้องออกไปแล้ว แต่เสี่ยวหมี่โต้วออกไปกับหม่ามี๊พร้อมกันไม่ได้ เสี่ยวหมี่โต้วต้องซ่อนตัวอยู่หลังโซฟา ออกมาไม่ได้ ได้ไหม?”
ดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเสี่ยวหมี่โต้ว ทำให้หานมู่จื่อรู้สึกผิดยิ่งนัก แต่เพื่อปกป้องเขา เธอจำเป็นต้องทนกับความรู้สึกผิดในใจ แล้วทำแบบนี้
เป็นไปตามคาด เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วได้ยิน ใบหน้าเล็กๆ ก็แสดงความสงสัย
“หม่ามี๊ เพราะอะไร? หนูอยากกลับบ้านพร้อมกันกับหม่ามี๊ หม่ามี๊ ไม่คิดถึงเสี่ยวหมี่โต้วเลยเหรอ?” พูดถึงตอนนี้ เสี่ยวหมี่โต้ว ใช้ทั้งมือทั้งเท้าเกาะแขนของหานมู่จื่อไว้ เด็กตัวน้อยๆ ใบหน้ามุ่ยเชียว ดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
“หม่ามี๊ คิดถึงเสี่ยวหมี่โต้วแน่นอน หม่ามี๊ก็อยากจะอยู่กับเสี่ยวหมี่โต้ว ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวัน แต่หม่ามี๊มีธุระต้องทำ เสี่ยวหมี่โต้ว…… เข้าใจเสมอมาไม่ใช่เหรอ? ครั้งนี้ก็ถือว่าหม่ามี๊ขอความช่วยเหลือจากหนู หนูตกลงกับหม่ามี๊เถอะ ได้ไหม?”
พูดถึงนี่ หานมู่จื่อหันจับมือของเสี่ยวหมี่โต้วไว้ เขย่าเบาๆ หวังให้เขาตกลง
ตอนแรกเสี่ยวหมี่โต้วทำปากมุ่ยด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นหานมู่จื่อจับมือของเขาไว้ กำลังขอร้องเขา เจ้าตัวเล็กก็รู้สึกไม่ฝืนทนได้ขึ้นมา เม้มริมฝีปากเล็กน้อย สักครู่ถึงได้พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“งั้นก็ได้ หม่ามี๊ได้พูดอย่างนั้นแล้ว ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วไม่ตกลง ก็จะดูเหมือนว่าเสี่ยวหมี่โต้วไม่น่ารักน่าเอ็นดูแล้ว”
“ความหมายของเสี่ยวหมี่โต้ว ก็คือตกลงแล้วใช่ไหม?”
หานมู่จื่อกอดลูกชายของตัวเองด้วยความดีใจ จูบแล้วจูบอีกที่แก้มนุ่มละมุนของเขาอย่างตื่นเต้น แนบชิดแล้วแนบชิดอีก ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจ
“ขอบคุณเสี่ยวหมี่โต้ว”
เสี่ยวหมี่โต้วลูบหลังหัวของหานมู่จื่อเบาๆอย่างภาคภูมิใจ พูดด้วยจิตใจกว้างขวางยิ่งนัก “หม่ามี๊ หนูเป็นลูกที่น่ารักของหม่ามี๊นะ ไม่ต้องเกรงใจแบบนี้ครับ ~”
ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ เสียงที่เย็นชาก็ดังมาจากข้างนอก
หานมู่จื่อตกตะลึง เสี่ยวหมี่โต้วกะพริบตาถี่ๆ จ้องมองเธออย่างไร้เดียงสา
“ที่หม่ามี๊กลัว คือคนนี้เหรอ?”
“ใช่” หานมู่จื่อพยักหน้า แล้วยื่นมือไปปิดหูของเสี่ยวหมี่โต้วไว้ จากนั้นก็ยิ้มให้เขา พูดกับเขาด้วยภาษาใบ้ว่า “ฟังคำสอนของหม่ามี๊”
เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เริ่มยื่นมือออกมาปิดหูตัวเอง แทนที่มือของหานมู่จื่อฉากนี้ทำให้หานมู่จื่อรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
เสี่ยวหมี่โต้วของเธอ เป็นเด็กที่ดีและน่ารักที่สุดในโลก ไม่เช่นนั้น……จะเริ่มยื่นมือออกมาแทนที่เธออย่างเอาใจใส่ได้อย่างไร?
หานมู่จื่อลูบหัวของเขาเบาๆ ดูเขาซ่อนตัวอยู่หลังโซฟา ถึงได้โบกมือให้เขา แล้วลุกขึ้น
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็กลับมามีสติอีกครั้ง เธอได้ถูกเย่โม่เซินอุ้มเข้าไปในลิฟต์แล้ว และชั้นลิฟต์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลง
รถของเขาจอดอยู่ที่หน้าประตูชั้นล่าง ถ้าอุ้มเธอออกไปอย่างนี้ คนอื่นจะต้องเห็นแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หานมู่จื่อก็บีบมือของเย่โม่เซินเบาๆ
“ฉันลงมาเดินเองได้จริงๆ คุณปล่อยฉันลงเถอะ”
ริมฝีปากบางของเย่โม่เซินเม้มแน่นไว้ตลอด ราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลย
หานมู่จื่อหมดหนทาง เห็นว่ากำลังจะถึงชั้นหนึ่งแล้ว ก็ทำได้เพียงอ่อนข้อลง “แม้อยากก็อุ้ม ก็อย่าอุ้มตรงนี้ ช่วงระยะทางก่อนจะขึ้นรถ ให้ฉันเดินเองได้ไหม?”
เย่โม่เซินก้มศีรษะลง ผู้หญิงในอ้อมกอดมือคล้องคอไว้ ดวงตาที่สว่างชัดเจน เต็มไปด้วยคำวิงวอน เย่โม่เซินจะปฏิเสธเธอลงคอได้อย่างไร?
ไม่รอให้หานมู่จื่อพูดขึ้นอีกครั้ง เย่โม่เซินก็ได้วางเธอลงแล้ว
ตอนที่หานมู่จื่อเท้าลงบนพื้น ยังคิดว่าเป็นภาพลวงตาของตัวเอง เย่โม่เซินเชื่อฟังคำพูดของเธอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
แต่เธอไม่มีเวลาไปคิดมาก เพราะไม่นาน ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแล้ว หานมู่จื่อไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น ก็ได้รีบก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเธอก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เย่โม่เซินก็ขมวดคิ้วมุ่น รีบเดินตามไป
==
รถของเย่โม่เซินจอดอยู่ใต้อาคารของบริษัท หานมู่จื่อเห็นจากระยะไกล ก็เดินตรงไปทันที จากนั้นก็ดึงประตูรถออก นั่งเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับโดยตรง
ตอนที่เย่โม่เซินตามมาถึง หานมู่จื่อได้รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เย่โม่เซินก็นึกถึงฉากก่อนหน้านี้ ที่คาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ แล้วเธอขัดขืน
ผู้หญิงคนนี้ รับมือยากกว่าที่เขาคิดไว้จริงๆด้วย
“ไปกันเถอะ”
ครั้งนี้ กลับเป็นหานมู่จื่อที่เร่งให้เขาขับรถก่อน สัญชาตญาณของเย่โม่เซินรู้สึกผิดปกติ แต่คิดทบทวนไปมา เธอไม่สบาย ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
เงียบสงบตลอดทางอย่างนี้ จนมาถึงที่พัก
เย่โม่เซินจอดรถให้หานมู่จื่อเรียบร้อย หานมู่จื่ครุ่นคิดสักพัก ก็ถามเย่โม่เซินกะทันหัน “วันนี้คุณยังไม่กินข้าวใช่ไหม?”
เมื่อได้ยิน เย่โม่เซินชะงัก ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเบาๆ แล้วถามกลับว่า “ทำไม? จะทำอาหารให้ฉันกินเหรอ?”
หานมู่จื่อ “……เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอาหาร สั่งอาหารเลี้ยงคุณเป็นยังไง?”
เธอคิดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองทำแบบนั้น มากเกินไปจริงๆ เพราะยังไงเขาก็ดูแลตัวเองที่เป็นไข้ แต่ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา ก็อารมณ์เสียกับเขาทันที แต่เขาแทนที่จะโกรธ กลับส่งเธอไปที่บริษัท และยังส่งเธอกลับมา
ไม่ว่ายังไง ก็เลี้ยงเธอมื้อหนึ่ง ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจแล้วกัน
เดิมทีเย่โม่เซินอยากจะบอกว่า อยากกินที่เธอทำเอง แต่ก็คิดได้อย่างรวดเร็ว เธอเพิ่งมีไข้สูง เวลานี้จะยอมให้เธอทำอาหารได้อย่างไร? จึงพยักหน้าทันที ตอบว่าได้
ดังนั้นทั้งสองจึงเดินขึ้นไปชั้นบนโดยตรง ตอนที่เข้าไปในลิฟต์ หานมู่จื่อเดินเข้าไปก่อน จากนั้นเย่โม่เซินก็เดินเข้าไปตาม แล้วหานมู่จื่อก็เดินไปอีกด้าน เตรียมจะไปกดปุ่มลิฟต์
ตอนที่ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดลง ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ร้อนรนดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน!”
ดูเหมือนว่ากำลังเรียกลิฟต์
อยู่ในชุมชนเดียวกัน หานมู่จื่อรีบสลับมือทันที กดอีกปุ่มที่อยู่ข้างๆ
ประตูลิฟต์เปิดใหม่อีกครั้ง หญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มเบาๆ
“ขอบคุณนะ ฉันคิดว่าไม่ทันแล้วเสียอีก!”
เดิมทีหญิงสาวใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากที่ได้เห็นเย่โม่เซิน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอจ้องมองเย่โม่เซินอย่างเหม่อลอย นึกถึงฉากก่อนหน้านั้น ที่ถูกเขาไล่ตะเพิด สีหน้าขาวซีดในทันที
ในเวลานี้ มีลุงอ้วนคนหนึ่ง ก็เบียดตัวเข้ามาพอดี เขาเดินเร่งรีบเล็กน้อย ได้เดินชนไปที่หานมู่จื่อที่อยู่หัวมุม
เดิมทีเย่โม่เซินที่ยืนอยู่กับที่ ด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ในเวลานี้ก็ยื่นมือออกกะทันหัน มือใหญ่จับเอวของหานมู่จื่อไว้ทันที แล้วดึงเธอเข้าหาตัวเอง
ปัง!
หานมู่จื่อยังไม่ทันตั้งตัวไว้ แก้มอ่อนนุ่มก็กระแทกเข้าที่อ้อมกอดของเย่โม่เซินโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เธอกำลังจะเงยหน้าขึ้น จะถามเย่โม่เซินว่าทำไมถึงดึงเธอเข้ามากะทันหัน หางตาก็ชำเลืองเห็นว่าลุงอ้วนคนเมื่อกี้ ได้ชนกำแพงที่เธอยืนอยู่ในเมื่อครู่ จากนั้นก็ร้องครวญครางออกมา
“เจ็บมากๆ”
หานมู่จื่อ “……”
ยังดีที่เย่โม่เซินดึงเธอออกไป มิฉะนั้น……เธออาจถูกชนเป็นพายเนื้อแล้วมั้ง?
ส่วนหญิงสาวที่เบียดเข้ามาด้านข้าง ได้เห็นฉากนี้ สีหน้าก็ยิ่งดูแย่มากขึ้น
เดิมทีเธอเห็นผู้ชายที่เย็นชาแบบนี้ จึงอยากตีสนิท แต่ไม่คาดคิดว่า จะถูกเขาปฏิเสธอย่างโหดร้าย ตอนนั้นเธอเศร้ามาก หลังจากกลับไป เพื่อนของเธอได้แนะนำปลอบใจเธอ บอกว่าผู้ชายที่เย็นชาแบบนี้ ไม่ได้เห็นผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตา
แต่ตอนนี้ล่ะ เขากำลังกอดผู้หญิงคนหนึ่งไว้ชัดๆ อ่อนโยนราวกับสายน้ำ
เหมือนไม่ใช่คนเดียวกัน กับที่บอกให้เธอไสหัวไปอย่างเย็นชาในวันนั้น