บทที่599 อยากให้ฉันป้อนไหม
ทำจนกว่าเธอจะท้อง แบบนี้ได้ยังไง?
หานมู่จื่อรู้สึกว่าตัวเธอนั้นจะต้องเป็นบ้าแล้ว แรงก็ไม่มีต้องแล้วแต่เขา ความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้ต้องใช้เวลาถึง5ปีถึงได้เผยออกมา
“กินสิ” เขาตักข้าวต้มมาใกล้ปากของเธอ
หานมู่จื่อเพียงนึกถึงเรื่องก่อนหน้าและคำพูดของเขา เธอก็โกรธจนหัวแทบระเบิดจนไม่อยากจะสนใจไยดีเขา
“ฉันไม่กิน ถ้านายคิดจะจ้องฉัน24ชั่วโมง งั้นฉันจะบอกเลยว่านายอย่าเสียแรงเสียเวลาเลย”
เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตามองฝ่ายตรงข้ามเยือกเย็น
“นายคิดว่านายกักขังฉันอยู่ที่นี่แล้ว พอฉันท้องจะไม่มีโอกาสที่จะทำแท้งออกไปอย่างนั้นเหรอ? ”
“เธอกล้าอย่างนั้นเหรอ! ”
“นายลองดูสิ แล้วจะได้รู้ว่าฉันกล้าหรือไม่กล้า? ”
คางของเธอถูกบีบ สายตาของเย่โม่เซินลุกเป็นไฟ เขาเพิ่มแรงบีบมากยิ่งขึ้น
“เธอคิดว่าถ้าฉันทำให้เธอท้องแล้ว จะให้เธอมีโอกาสแท้งได้ไหมหล่ะ? ”
“ทำไม? มันเป็นเพราะอะไรกันแน่? ตอนนั้นนายยังอยากให้ฉันไปจากนายแต่ตอนนี้นายกลับมากักขังฉันเอาไว้อยู่ข้างตัวทำราวกับว่าฉันไม่ใช่คน เหมือนฉันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง ที่สามารถเรียกใช้ได้ทันทีอย่างไรอย่างนั้น? ”
พูดถึงตอนนั้น แววตาของเย่โม่เซินก็เปลี่ยนไป
“แล้วเธอหล่ะ? ฉันให้เธอมาที่งานเลี้ยงทำไมถึงไม่มา? ”
ทำไมเธอถึงไม่ได้ไปที่งานเลี้ยงอย่างนั้นเหรอ?
หานมู่จื่อนึกไปถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์ครานั้น ถ้าหากตอนนั้นเย่หลิ่นหานไม่ปกป้องเธอเอาไว้ โอกาสที่เธอจะได้ไปที่งานเลี้ยงนั้นคงจะไม่มีด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่พอไปแล้วเธอกลับไม่เจอเย่โม่เซิน
ต่อมาเมื่อเธอไล่ตามไปที่ลานจอดรถก็พบว่าเย่โม่เซินได้ขับรถจากไปแล้ว เธอเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ ไปหาที่วิลล่าไห่เจียง
แต่เขากลับปิดประตูให้เธออยู่ด้านนอก
แม้แต่โอกาสที่จะอธิบายก็ไม่มีให้ ตอนนี้ยังจะมีหน้ามาถามว่าทำไมถึงไม่ไปที่งานเลี้ยงอีก?
หานมู่จื่ออยากจะหัวเราะ นัยน์ตาของเธอแดงฉานด้วยความโกรธจ้องไปทางเย่โม่เซิน
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ไป? ”
ดวงตาเรื่อแดงสอดคล้องไปกับใบหน้าที่อิดโรย
“เธอไปเหรอ? ”
นัยน์ตาสีดำจดจ้องไปที่เธอ ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างบนใบหน้าของเธอ
คืนนั้นเธอไปที่งานเลี้ยงจริงๆ อย่างนั้นเหรอ? คำตอบนี้สำคัญต่อเย่โม่เซินมาก
หานมู่จื่อหันหน้าหนี ไม่อยากจะตอบคำถามเขา เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วการที่เธอจะไปหรือไม่ไปมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“ตอบฉัน! ” เมื่อเห็นเธอหลีกเลี่ยงเขา เย่โม่เซินก็เพิ่มแรงบิดหน้าเธอกลับมาพลางพูด
ดวงตาดำว่างเปล่า
“บอกฉันมา วันนั้นเธอได้ไปที่งานเลี้ยงนั่นหรือเปล่า? ”
“มันสำคัญมากนักเหรอ? ” หานมู่จื่อไม่ตอบ เหยียดยิ้มขึ้นแกมเยาะ “ทำไม? หรือว่าถ้าหากฉันบอกว่าฉันไปนายก็จะอภัยให้ฉันด้วยความเมตตา? แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ไปก็จะได้ทรมานฉันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า? ”
ไม่รอให้เขาได้ตอบอะไรกลับมา หานมู่จื่อก็พูดขึ้นอีก: “เรื่องนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ฉันจะไปหรือไม่ไปที่นั่น นายก็ไม่มีทางเห็นอยู่ดี”
ที่สำคัญคือหลังจากนั้นเธอได้ไปที่วิลล่าไห่เจียง แต่เขากลับปิดประตูใส่เธอ
เย่โม่เซินรับรู้ได้จากคำพูดของเธอ ว่าคืนนั้นเธอได้ไปที่งานเลี้ยงแต่พอเธอไปเขาก็กลับไปแล้ว แต่แล้วทำไมพอเขากลับไปที่วิลล่าไห่เจียง เธอถึงไปรอเขาอยู่ที่นั่นแล้วหล่ะ
เสียดายก็เพียงแต่ที่เธอไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไร งานนั้นมันสำคัญต่อเขามาก ถ้าในตอนนั้นเธอไม่ได้ไปงานเลี้ยงเพราะเรื่องอื่นเขาก็จะเอามาเป็นเหตุผลให้อภัยแก่เธอได้ แต่ผลเขากลับได้ข่าวว่าเธอออกไปกับพี่ชายของเขา ในนามพี่ชายของเขา
ตอนนั้นเย่หลิ่นหานหมายใจกับมู่จื่อ มีความทะเยอทะยานอย่างชัดเจนเลยทีเดียว อย่างที่ทุกคนก็รู้ แต่ว่าเธอหล่ะ หลังจากที่เขาขอเธอให้ไปงานด้วย เธอกลับไปออกงานกับเย่หลิ่นหาน
อยากจะถามจริงๆ ว่าเธอไม่หัวใจบ้างไหม?
คืนนั้นเป็นวันเกิดของเขา เขาคิดที่จะใช้วันพิเศษของเขา เปิดเผยตัวตนของผู้หญิงคนนี้ ให้ทุกคนได้รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขา
เป็นผู้หญิงของเย่โม่เซิน
มีเขาอยู่ข้างหลัง ต่อไปจะได้ไม่มีใครมารังแกเธออีก แต่ความตั้งใจของเขากลับล้มเหลวไป เย่หลินหานเป็นใคร? ลูกชายของเมียน้อย ผู้ชายผู้ทำลายครอบครัวของเขา ผู้ชายคนนี้มีจุดประสงค์อะไรเขาเองรู้ดี แม่ของเขาทำลายความสุขแม่ของเขา เขาจึงอยากที่จะทำลายความสุขของเขาบ้าง
ดังนั้นเขาจึงไม่ควานหาเหตุผลจากหานมู่จื่อ
ตอนนั้นเพียงคิดว่าหากเธอชอบพี่ชายตัวเองจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะบังคับให้เธอมาอยู่ข้างกาย มันเป็นเพียงความโกรธจากแรงริษยา ที่มันแผดเผาจนขาดสติและได้ทำแบบนั้นลงไป
เย่โม่เซินบ่มเพาะอยู่นาน เมื่อเห็นดวงหน้าที่ไม่แยแสของเธอ เขาจึงหยุดยั้งคำพูดอยู่แค่นั้น
เธอไม่ได้สนใจอะไรแล้ว ที่เขาจะพูดมันจะมีความหมายอะไรได้อีก ยังไงเสียการที่จะให้เธอมาอยู่ข้างๆ บังคับให้เธอมาอยู่ กันไม่ให้ผู้ชายคนอื่นเข้าใกล้เธอ ให้เธอมีลูกให้เขา ให้เธอเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียว นั่นก็เพียงพอแล้ว
“เธอจะไม่พูดก็ไม่เป็นไร กินข้าวก่อน” เย่โม่เซินตักข้าวต้มไปใกล้ปากของเธออีกครั้ง
ข้าวต้มนี้เขาสั่งให้คนต้มขึ้น เป็นข้าวต้มที่มีคุณค่าทางโภชนาการเป็นพิเศษ กลิ่นหอมจนทำให้คนได้กลิ่นน้ำลายสอ
แต่ตอนนี้แม้ว่าหานมู่จื่อจะหิวจนแทบจะเป็นลม ก็ไม่อยากที่จะกินอะไรที่เขาป้อน
“ฉันบอกแล้ว ว่าฉันไม่กิน”
“ไม่กินอย่างนั้นเหรอ? ” เย่โม่เซินเลิกคิ้ว “ไม่กิน งั้นฉันจะใช้แรงทำลูกแล้วนะ? ”
“นี่นาย! ”
ไม่คิดว่าเขาจะเอามาพูดอีก หานมู่จื่อโกรธจนตามืดตาบอด ทั้งยังรำคาญ ไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับเขาอีก
เธอครุ่นคิดก่อนจะดึงผ้าห่มมาด้วยคิดอยากนอนลง
เย่โม่เซินหยุดการเคลื่อนไหวของเธอ “ถ้าไม่อยากให้ฉันบังคับให้กิน ก็ลุกขึ้นมากินเอง”
หานมู่จื่อไม่สนใจเขา ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวอย่างไม่แยแส เธอไม่กินข้าว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาเอาชนะอะไรเธอ? ถึงเวลาเธอตายขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าใครกันที่จะเสียใจ
คิดถึงเพียงเท่านี้ เธอก็หลับตาลง ไม่สนใจเขาอีก
ด้านหลังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ผ่านไปสักพักหานมู่จื่อก็เหมือนได้ยินเสียงเครื่องลายครามกระทบ ในตอนที่เธอสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ไหล่ของเธอก็ถูกจับ แล้วเธอก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนที่ริมฝีปากก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา
ดวงตาของหานมู่จื่อเบิกกว้างด้วยเพราะความใกล้ชิดของเย่โม่เซิน เขางัดปากของเธอออกและใส่ข้าวต้มไปในปากของเธอ
ไอ้เลวนี่!
ร้ายกาจจริงๆ!
หานมู่จื่อใช้แรงอยากจะผลักเขาออก แต่ด้วยแรงของเย่โม่เซินทำให้เธอขยับไม่ได้ ท้ายสุดจึงทำได้แค่เคี้ยวข้าวต้มลงท้องไป
เขาผละริมฝีปากออกไป มองด้วยประกายตาสดใส
“จะกินเอง หรือจะให้ฉันป้อนต่อ? ”