ตอนที่ 603 เปลี่ยนยา
พอคิดได้ดังนี้ เสี่ยวเหยียนก็เเอบเหลือบมองหานมู่จื่อ
และพบว่าหานมู่จื่อกำลังมองเธอด้วยความกังวล
“ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องมาลำบาก เขาคงไม่ได้ทำให้เธอหนักใจใช่ไหม?”
ท่าทางห่วงใยแบบนี้ยิ่งทำให้เสี่ยวเหยียนไม่กล้ามองหน้าหานมู่จื่อ เสี่ยวเหยียนคิดว่าตัวเองยังทำเรื่องไม่น่าให้อภัยยิ่งกว่าเธอเสียอีก
“ไม่ ไม่หรอก ก็แค่ตกใจแค่นั้นเอง”
“งั้นดีแล้ว” หานมู่จื่อเบาใจ
“ความจริง…” จู่ๆเสี่ยวเหยียนเงยหน้ามองเธอเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง
หานมู่จื่อทำหน้างง “หืม? มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า” เสี่ยวเหยียนก้มหน้าลงอีกครั้งโดยไม่กล้าสบตากับหานมู่จื่อ
ช่างเถอะ ในเมื่อเอายาให้เธอแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
ก๊อกก๊อกก๊อก—
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะตรงประตู หญิงสาวทั้งสองที่ต่างคิดกันไปคนละทางก็ยืดตัวตรง ในขณะเดียวกันใบหน้าทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด
เป็น เย่โม่เซิน!
หานมู่จื่อส่งสายขอความช่วยเหลือไปทางเสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียนได้แต่พยักหน้าให้เธออย่างไม่สู้ดี
“มู่จื่อ?” เสียงทุ้มของผู้ชายดังมาจากข้างนอก ทันทีที่หานมู่จื่อได้ยินเสียงของเขา เธอก็ขยุ้มผ้าปูเตียงที่อยู่ใต้ล่างและกัดริมฝีปากโดยไม่ยอมขานรับ
“ผมเข้าไปนะ?” หลังจากที่เย่โม่เซินเอ่ยปากถาม เขาก็บิดลูกบิดเข้ามาในห้องโดยไม่ได้รอคำตอบ
เมื่อเห็นร่างใหญ่เข้ามาในห้อง หานมู่จื่อรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว
เธอเอนตัวไปที่หมอนที่อยู่ข้างๆโดยไม่รู้ตัว และนำขวดยาที่เสี่ยวเหยียนเพิ่งให้มานั้นสอดเข้าไปใต้หมอน ถ้าเขาคิดจะหา อย่างไรก็ต้องหาเจอจนได้
และหากเขาหายาเจอ ตามนิสัยของเขาแล้ว
หานมู่จื่อแทบไม่กล้าจินตนาการตามว่าตัวเองจะรับอารมณ์โมโหของเขาอีกครั้งได้หรือไม่
เธอกัดริมฝีปากจนเลือดซึม เสี่ยวเหยียนพูดอย่างอายๆ “เย่ ประธานเย่ ฉันมาส่งเอกสารให้มู่จื่อ”
พอพูดเสร็จเธอก็หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้หานมู่จื่อ “มู่จื่อ เธอดูเอกสารนี่ ถ้าไม่มีอะไรก็เซ็นได้เลย ฉันจะได้เอากลับไปที่บริษัท”
เย่โม่เซินกวาดตามองเสี่ยวเหยียน แววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
เเสดงได้สมจริงจริงๆ
มีเย่โม่เซินคอยจ้องอยู่ตรงหน้า หานมู่จื่อจะมีหน้าดูเอกสารได้อย่างไรล่ะ? แต่การแสดงยังคงต้องดำเนินต่อไป เธอทำทีอ่านเอกสารสัญญาสักพัก จากนั้นก็รับปากกามาจากเสี่ยวเหยี่ยนแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไป
“เสร็จแล้ว”
เสี่ยวเหยียนรับเอกสารสัญญาและปากกากลับมา จากนั้นก็มองเย่โม่เซินและหันไปมองมู่จื่ออีกครั้ง เธอพูดขึ้นมาว่า “งั้น…ฉันกลับบริษัทก่อนนะ”
หานมู่จื่อรู้ดีว่าเสี่ยวเหยียนไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่ เธอกับเย่โม่เซินที่เคยเป็นสามีภรรยากันยังกลัวท่าทีของเขาในตอนนี้ นับประสาอะไรกับเสี่ยวเหยี่ยน
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าเพื่อบอกให้เสี่ยวเหยียนกลับบริษัทก่อน
เมื่อเสี่ยวเหยียนเห็นท่าทีตอบรับของเธอแล้วก็รีบเดินออกไป ตอนที่เธอเดินผ่านเย่โม่เซิน หานมู่จื่อก็เห็นว่าเสี่ยวเหยียนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จากนั้นก็หายออกไปจากห้อง
ภายในห้องนอนใหญ่จึงเหลือเพียงหานมู่จื่อกับเย่โม่เซินสองคน
อาจเป็นเพราะรู้สึกผิด หานมู่จื่อจึงไม่กล้ามองตาเย่โม่เซิน หลังจากที่เสี่ยวเหยียนออกไป เธอก็ลากผ้าห่มมาคลุมแล้วนอนต่อ
ตอนที่นอนลงเธอรู้สึกได้ว่าใต้หมอนนูนขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นขวดยาที่เธอซ่อนเอาไว้
ดังนั้นเธอจึงค่อยๆขยับศีรษะ
มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ เสียงเย่โม่เซินพูดมาจากทางด้านหลัง
“ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อย”
หานมู่จื่อไม่สนใจเขา พูดแค่ว่า “ฉันไม่หิว ไม่อยากกิน”
“ต้องให้ผมอุ้มไหม?”
คำพูดนี้กระทบใจหานมู่จื่อ เธอจึงลากผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่งพลางจ้องหน้าเย่โม่เซิน
“คุณจะต้องบังคับฉันแบบนี้ทุกวันเลยใช่ไหม?”
“คุณไม่กินข้าวจะมีเรี่ยวแรงได้อย่างไร?”
เย่โม่เซินจ้องเธอด้วยเเววตาเย็นชา น้ำเสียงเยือกเย็น “ผมให้ทางเลือกคุณสองทาง หนึ่งให้ผมอุ้มลงไป สองลุกมาเอง”
นี่เป็นคำพูดที่ตลกมาก หรือจะให้เลือกข้อแรกกันล่ะ? เธอเกลียดเย่โม่เซินที่เป็นแบบนี้จริงๆ แต่เธอกังวลว่าเย่โม่เซินจะพบยาคุมที่เธอซ่อนเอาไว้เสียมากกว่า
เธอมองเขาด้วยลักษณะเดียวกัน และพูดกับเย่โม่เซินอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้อง ฉันมีขาเดินไปเองได้”
จากนั้นเธอก็เปิดผ้าห่มลุกออกจากเตียง สิ่งสำคัญที่สุดคือพาเขาออกไปจากห้องอย่างเร่งด่วนแล้วค่อยว่ากัน เนื่องจากภายในห้องนี้มีของที่เธอซ่อนอยู่
พอเห็นหานมู่จื่อเดินลงมา เย่โม่เซินก็เหลือบมองไปที่เตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายังกังวลอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงไปหยิบขวดที่อยู่ใต้หมอนออกมา พอเห็นว่าเป็นขวดที่เขาเพิ่งเอาให้เสี่ยวเหยียนไป ก็กลับไปวางไว้ที่เดิม จากนั้นก็ตามหานมู่จื่อลงไปข้างล่าง
อาหารถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะอย่างดี เนื่องจากเย่โม่เซินเชิญพ่อครัวส่วนตัวมาทำอาหาร ดังนั้นอาหารจึงถูกจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสม และมีโภชนาการที่ดี
หากเป็นเมื่อก่อนหานมู่จื่อคงจะรู้สึกอยากอาหารมาก แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีกะจิตกะใจจะกินอะไรเลยเพราะเธอต้องหาเวลากินยาคุมนั่น
ดังนั้นเธอจึงทานอาหารอย่างฝืดคอ และเมื่อเธอกำลังจะวางถ้วยลงและขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปกินยาคุม ก็มีใครบางคนเอื้อมมือมาหยิบข้าวเม็ดหนึ่งจากมุมปากของเธอ
“คุณเป็นผีหิวโซหรือไง?” ประโยคที่ไม่อ่อนโยนหลุดออกมาจากปากของเย่โม่เซิน
หานมู่จื่อพยักหน้าอย่างหงุดหงิด “ใช่ ฉันเป็นผีหิวโซ ตอนนี้ฉันทานเสร็จแล้ว ฉันขึ้นไปข้างบนได้หรือยัง? หรือว่าต้องอยู่รอที่นี่จนกว่าคุณจะทานเสร็จ?”
เย่โม่เซินรู้ว่าเธอจะขึ้นไปข้างบนเพื่อทำอะไร ถึงอย่างไรก็ตามในเมื่อเปลี่ยนยาแล้ว หากเธอต้องการจะกินก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเย่โม่เซินจึงพูดขึ้นมาเบาๆว่า “ไม่ต้อง คุณขึ้นไปข้างบนเถอะ”
พอเขาอนุญาต หานมู่จื่อก็วางตะเกียบลงทันทีแล้วลุกขึ้นเดินไปชั้นบน ในขณะที่เดินขึ้นบันไดหานมู่จื่อเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ ทำไมจู่ๆวันนี้เขาก็ดูเปลี่ยนเป็นพูดดีขึ้น เขาไม่กลัวว่าเธอจะกลับห้องมาแอบกินยาหรอกหรือ?
หรือน่าจะเป็นเพราะเสี่ยวเหยียนโกหกเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตอนนี้เธอไม่มียาคุมอยู่ในมือแล้ว เขาก็เลยสบายใจ
ในขณะที่ใช้ความคิด หานมู่จื่อก็กลับมาที่ห้องอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นตระหนกพอเธอกลับเข้ามาที่ห้องก็รีบล๊อคประตูตามหลัง จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าเตียงและนำยาคุมที่ซ่อนไว้ใต้หมอนออกมา เธอหยิบมันออกมาและเทยาลงบนฝ่ามือ เธอกลืนมันลงไปโดยไม่ดื่มน้ำ
ตอนที่กลืนเม็ดยาลงคอ หานมู่จื่อรู้สึกทรมานเล็กน้อยแต่สักพักก็กลับมาดีขึ้น ยาคุมจะต้องแบ่งเวลากิน ภายในเวลา 72 ชั่วโมงกินหนึ่งเม็ด และหลังจากอีก 72 ชั่วโมงก็ค่อยกินอีกหนึ่งเม็ด ดังนั้นเธอจึงยังต้องเก็บขวดยาเอาไว้
อย่างไรก็ตามด้วยนิสัยของเย่โม่เซินเเล้ว ไม่รู้ว่าตอนดึกๆเขายังจะมานอนขลุกอยู่กับเธอหรือไม่ ดังนั้นเธอจึงต้องนำยาไปซ่อน จะซ่อนไว้บนเตียงก็ไม่ได้ ห้องก็ออกจะใหญ่เสียขนาดนี้ เธอจะซ่อนที่ไหนได้บ้างนะ?
พอคิดได้สักพักหานมู่จื่อจึงเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าก็พบเสื้อโค้ทตัวหนึ่ง เธอนำยาคุมสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท เธอคิดว่าเย่โม่เซินคงไม่พลิกหากระเป๋าเสื้อเป็นอย่างแรกหรอกมั้ง?
หลังจากที่ซ่อนเสร็จ หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก คาดว่าในช่วงเวลาสองสามวันมานี้เธอรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุด
เธอแอบกินยาอย่างเงียบๆแบบนี้ ดูซิว่าเขาจะให้เธอท้องได้อย่างไร พอถึงเวลานั้นเย่โมเซินจะต้องลืมระแวงในตัวเธอ และจะต้องรักษาระยะห่างกับเธอในที่สุด