บทที่ 606 ไม่รู้จักแยกแยะ
ทั้งสองพูดคุยโต้ตอบกันไปมา
หานมู่จื่ออายเล็กน้อยกับบทสนทนาอันน่าอึดอัด
“ไม่ทราบว่าคุณคือ?” พี่สาวจ้องหน้าเย่หลิ่นหานด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้ชายคนนี้หล่อมาก อีกทั้งสายตาของเขาเอาแต่จ้องไปที่หานมู่จื่อทันทีที่เดินเข้ามา ในขณะนี้พี่สาวเหมือนมีลูกไฟลุกโชนขึ้นมาในตัว เนื่องจากท่าทีของหานมู่จื่อที่มีต่อเย่โม่เซินจึงทำให้พี่สาวสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเหยียบเรือสองแคมใช่หรือไม่ หรือเป็นการปั่นหัวผู้ชายทั้งสอง
แต่หลังจากคิดอีกแง่หนึ่ง จากการเพิ่งพูดคุยกันเมื่อกี้นี้เธอกลับไม่ได้รู้สึกว่าหานมู่จื่อจะเป็นคนประเภทนั้น ดังนั้นพี่สาวจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปและหันกลับมามองหานมู่จื่อกับเย่หลิ่นหานอีกครั้ง
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” หานมู่จื่อถือโอกาสถามเขาในตอนที่เย่โม่เซินไม่อยู่
เย่หลิ่นหานยิ้มเล็กน้อย “ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเป็นความบังเอิญ?”
“จริงหรือ?” หานมู่จื่อจะเชื่อได้อย่างไร? จากการบังเอิญเจอกันสองครั้งก่อนหน้านี้ รวมไปถึงเรื่องพวกนั้นที่เขาทำที่บริษัท เธอคิดได้อยู่อย่างเดียวว่าการพบกันอย่างบังเอิญล้วนเป็นเจตนาของเย่หลิ่นหาน
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยคุยกับเขาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตบตาหานมู่จื่อได้ตามสบาย
เนื่องจากมีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นหานมู่จื่อจึงพูดอย่างมีไหวพริบ อย่างไรก็ตามพี่สาวก็ไม่ใช่คนโง่ เธอจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าระหว่างทั้งสองมีคลื่นใต้น้ำอยู่ในความสัมพันธ์นั้น
เธอยิ้มอย่างเก้อเขิน แต่กลับไม่ได้ปลีกตัวออกไป
หานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะชื่นชมพี่สาวคนนี้ที่รู้งาน ถ้าหากในเวลานี้พี่สาวบอกมาตรงๆว่าจะไม่รบกวนพวกเขา ให้พวกเขาได้คุยกัน พอถึงตอนที่เย่โม่เซินกลับมา เมื่อเห็นว่าเย่หลิ่นหานกับหานมู่จื่ออยู่ด้วยกันสองคน จะต้องเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นแน่ๆ
หานมู่จื่อเหลือบมองพี่สาวอย่างตื้นตันใจ เธอกระซิบเบาๆ
“พี่สาวยังอยากซื้ออะไรไหมคะ?”
“ไม่ต้องๆ ฉันซื้อมาเกือบหมดเเล้ว เดี๋ยวค่อยไปซื้อกระดาษทิชชู่ที่มุมนั้นหน่อย แล้วพวกเราค่อยกลับที่พักกัน”
หานมู่จื่อพยักหน้า “ค่ะ งั้นฉันไปเป็นเพื่อน”
จากนั้นหานมู่จื่อก็มองไปทางเย่หลิ่นหาน “ประธานเย่หลิ่นหาน ฉันต้องไปซื้อของกับพี่สาวแล้ว คงต้องขอตัวก่อนนะคะ” พอพูดเสร็จเธอก็ยิ้มให้เขา พลางคล้องเเขนพี่สาวและเข็นรถเข็นออกไป
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวพี่สาวก็หันกลับมา “เขาตามพวกเรามา!”
พอได้ยินดังนั้นหานมู่จื่อก็ขมวดคิ้ว เธอบอกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วนี่นา ทำไมเย่หลินหานถึงยังตามเธอมาอีก?
“เขาชอบเธอใช่ไหม?” จู่ๆพี่สาวก็เอียงหน้าเข้ามาถามอยู่ข้างหูจนเธอตกใจ เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่หรอกมั้งคะ?”
แม้ตอนนั้นเขาจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้เธอ แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน อีกอย่างตอนนั้นเธอก็ยังเป็นภรรยาของเย่โม่เซิน แต่เย่หลิ่นหานยังเลือกที่บอกความในใจกับเธอ และนั่นก็มักจะทำให้หานมู่จื่อคิดว่าเป็นแผนการของเขา เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะต้อนน้องชายตัวเองให้จนมุมได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามตอนที่เขาปกป้องเธอจากเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ทำให้หานมู่จื่อคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้เธออยู่บ้าง
แต่เวลาก็ผ่านมาห้าปีแล้ว และเรื่องทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปหมดแล้ว
แม้ว่าเขาจะเคยชอบเธอมาก่อน แต่ตอนนี้คาดว่าความรู้สึกคงจืดจางไปนานแล้ว ดังนั้นหานมู่จื่อจึงไม่เคยเก็บเรื่องนี้กลับมาคิดอีก
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ สายตาที่เขามองเธอเมื่อกี้นี้เธอไม่เห็นหรือไง?
หานมู่จื่อส่ายหน้า “ไม่นี่คะ”
“นี่เธอไร้เดียงสาจริงๆหรือแกล้งไร้เดียงสากันแน่เนี่ย? แววตาที่เขามองเธอเต็มไปด้วยความรักไม่ต่างอะไรกับแววตาของสามีเธอเลย เธอดูไม่ออกจริงๆหรือ?”
แววตาที่เย่โม่เซินมองเธอ หานมู่จื่อรู้สึกงงงวยเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถาม “ที่คุณพูดมา สามีของฉันใช้สายตาแบบไหนมองฉันนะคะ?” เธอเรียกเขาว่าสามีอย่างลืมตัว ดังนั้นพอพูดคำว่าสามีเธอถึงกับหยุดชะงัก จากนั้นก็เรียกสติกลับมา
ภรรยาของลุงอ้วนคิดเพียงว่าเธอเป็นคนขี้อายจึงไม่ได้ถามเจาะลึก พลางหรี่ตาอธิบาย “เวลาที่ชอบใครสักคน พอได้เจอเขาดวงตาของเธอจะเป็นประกาย”
“เป็นประกาย? หมายความว่าอย่างไรคะ?”
“มันเป็นความรู้สึกพิเศษ ก็เหมือนว่าตอนที่เขามองเธอ ดวงตาของเขาจะสว่างเจิดจ้า หรือเธอไม่เคยสังเกตแววตาและความรู้สึกของเขาตอนที่เขามองเธอล่ะ?”
หานมู่จื่อ “…ไม่เลยค่ะ”
เธอจะสังเกตเเววตาเย่โม่เซินตอนที่เขามองเธอได้อย่างไรล่ะ เธอรู้สึกเพียงว่าสายตาที่เขามองเธอนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลย ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด
“เฮ้อ เธอนี่นะไม่รู้จักถนอมสามีตัวเองจริงๆ สามีเธอก็ออกจะหล่อซะขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ไม่กลัวหรือว่าจะโดนแย่งไป?”
หานมู่จื่อ “…”
โดนแย่งงั้นหรือ? ตอนแรกเธอยอมให้หลินชิงชิงกับเย่โม่เซินอยู่ด้วยกันก็เพื่อไม่ให้เขามารบกวนเธออีก
พี่สาวหันกลับไปด้านหลังก็พบว่าเย่หลิ่นหานยังตามพวกเธอมาอีก เธอจึงพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า
“เขาตามเรามาแบบนี้จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ถ้าสามีเธอกลับมาล่ะ…”
หานมู่จื่อได้ยินดังนั้นก็อดทำหน้าย่นไม่ได้ ใบหน้าที่บอบบางเท่าฝ่ามือแทบจะยับยู่ยี่ไปทั้งหน้า หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้งและพูดว่า “เขาอยากตามมาเอง ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ? ฉันไปห้ามสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลไม่ได้หรอกค่ะ”
“พูดแบบนั้นก็ถูก งั้นก็ปล่อยให้เขาตามแบบนี้น่ะหรือ?”
หานมู่จื่อหันกลับไปก็พบว่าเย่หลิ่นหานกำลังตามพวกเธออยู่ทางด้านหลังจริงๆ พอเขาเห็นเธอหันกลับมา มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อยและยิ้มอย่างอ่อนโยน แม้ว่าจะมองผ่านเลนส์แว่นตา แต่ก็สามารถมองเห็นถึงความอบอุ่นที่อยู่นัยน์ตาเขาได้เช่นกัน บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มุ่งร้ายกับเธอจริงๆก็ได้ เธอคิดในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า?
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในตอนนี้อาจกลายเป็นการจุดชนวนให้เย่โม่เซิน
เหมือนคืนนั้นที่เย่โม่เซินรู้ว่าเธอออกไปพบเย่หลิ่นหาน เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วจากนั้น…ก็…กับเธอ
พอนึกถึงความมืดมิดในช่วงสองวันที่ผ่านมาจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน หานมู่จื่อก็ได้สติและหยุดเดิน
เธอหยุดเท้าแล้วพูดกับพี่สาว “พี่สาว คุณรอฉันอยู่ที่นี่สักครู่นะคะ ฉันจะไปคุยกับเขาสักหน่อย”
พี่สาวคิดพลางส่ายหน้า “เธอก็รีบๆหน่อยละกัน ฉันคิดว่าพวกเขาใกล้จะกลับมาแล้ว”
“ค่ะ ฉันจะพยายาม”
พอพูดเสร็จหานมู่จื่อก็เดินไปหาเย่หลิ่นหาน
“มีอะไรหรือเปล่า?” พอเย่หลิ่นหานเห็นว่าเธอเดินกลับมา เขาก็มองเธอด้วยความมึนงง “เธอไม่พอใจหรือ?”
หานมู่จื่อ “…”
หานมู่จื่อไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
ก็เห็นๆอยู่ว่าเขาตามเธอมาไม่ใช่หรือ? แต่พอเธอเดินมาหา เขากลับทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา มันทำให้หานมู่จื่อรู้สึกอายมาก
เมื่อเห็นเธอทำหน้าเก้อเขินอยู่กับที่ เย่หลิ่นหานจึงยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นตาและยิ้มเล็กน้อย “ทำไมล่ะ คุณคงไม่คิดว่าผมตามคุณมาหรอกนะ?”
หรือไม่ใช่?
คำพูดเหล่านี้แทบจะโพล่งออกมา แต่สุดท้ายหานมู่จื่อก็ได้แต่มองเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
เย่หลิ่นหานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วางใจเถอะ ในเมื่อคุณไม่สบายใจ ผมก็จะไม่รบกวนคุณ ผมแค่กำลังจะไปซื้อของที่อยู่ทางด้านหน้านั้นหน่อย แต่เผอิญว่ามันเป็นทางเดียวกับพวกคุณพอดี”
เขาพูดสุภาพมากจนทำให้หานมู่จื่อรู้สึกว่าหากตัวเองถามออกไปอีกครั้ง มันจะดูเหมือนว่าเธอเป็นคนไม่รู้จักแยกแยะ
พอคิดได้ดังนั้น เธอก็กัดฟันถาม “คุณจะไปซื้ออะไร?”
“ที่ถามแบบนี้เพราะคิดจะหลบหน้าผมงั้นหรือ?”