บทที่ 62 แม้แต่มองก็ไม่มองเธอ
เสิ่นเฉียวไม่ได้พักอยู่ที่โรงพยาบาลนานนัก หลังจากที่หมอมาตรวจร่างกายเธอ และเสิ่นเฉียวมั่นใจว่าเธอไม่เป็นไรแล้วนั้น ก็มีความคิดที่อยากจะออกจากโรงพยาบาล
หมอขมวดคิ้ว:“หมอแนะนำให้พักดูอาการอยู่ที่นี่อีกซักสองวันก่อนนะครับ เพราะยังไงสมรรถภาพทางร่างกายของคุณก็ไม่ค่อยดีด้วย”
“หมอคะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ขอออกโรงพยาบาลวันนี้เลยได้มั้ยคะ?”
เห็นความมุ่งมั่นของเสิ่นเฉียว หมอเองก็เห็นว่าเธอไม่มีอาการหนักแล้ว หลังจากเตือนเธอว่าห้ามดื่มเหล้าและอื่นๆก็เซ็นเห็นชอบให้เธอออกจากโรงพยาบาลได้
ตอนที่เดินไปนั้น เสิ่นเฉียวไปทำเรื่องออกโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เธอยืมเงินของหานเส่โยวมาก่อนบางส่วน แล้วบอกว่าจะคืนให้ทีหลัง แต่หานเส่โยวรู้ว่าสถานการณ์ของเธอหลังจากนี้จะได้ใช้เงินอย่างมีความสุข และไม่ต้องให้เธอคืนเงินแล้ว
ถึงแม้ว่าหานเส่โยวจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เสิ่นเฉียวกลับไม่หยิบเอาเงินของเธอไปเปล่าๆ จำนวนมีเท่าไหร่เธอจำไว้ได้หมด รอให้เงินเดือนออกเมื่อไหร่ก็จะรีบคืนให้เธอทันที
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เสิ่นเฉียวก็กลับไปเก็บของที่บ้าน จากนั้นก็เอาเงินที่เหลือจากการจ่ายค่ารักษาที่โรงพยาบาลไปซื้อชุดใหม่มาสองชุด พอเปลี่ยนชุดก็ไปเข้างาน มาถึงที่ทำงานของตัวเอง เสิ่นเฉียวมองดูเวลา ถึงจะมาสาย แต่เธอก็ไปนั่งตรงที่ทำงานของตัวเอง แล้วก็เริ่มทำงาน
เอกสารก่อนหน้านี้เธอยังสะสางไม่เสร็จดี
เสิ่นเฉียวนั่งจัดการเอกสารประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เซียวซู่เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ แล้วเดินผ่านที่ทำงานของเสิ่นเฉียวไปโดยไม่มอง แต่แล้วก็ต้องถอยหลังกลับมาโดยไว แล้วมองเสิ่นเฉียวอยู่ที่ข้างๆประตู
“ผู้ช่วยเสิ่น?”เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย?ตอนนี้ควรจะนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิ ทำไมอยู่ๆถึงมาโผล่ที่บริษัทได้?
เซียวซู่ยกมือขึ้นมาแล้วขยี้ตาตัวเอง
เสิ่นเฉียวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงจดจ้องอยู่กับเอกสารในมือ แล้วตอบไปหนึ่งคำ
เซียวซู่:“……ผู้ช่วยเสิ่น ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”
แต่ปฏิกิริยาตอบกลับจะนิ่งเฉยเกินไปมั้ย?
เสิ่นเฉียวทำเสียงหืม:“ที่นี่เป็นที่ทำงานของฉัน ฉันอยู่ที่นี่แล้วแปลกตรงไหนเหรอ?”
“ผมหมายถึงว่า……ผู้ช่วยเสิ่นควรจะพักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอครับ?”
“ออกมาแล้ว”
“คุณอยากจะไปเข้าพบคุณชายเย่ใช่มั้ย ฝากเอาเอกสารพวกนี้เข้าไปส่งให้ด้วยนะ ฉันไม่มีเวลา?”
พูดจบ เสิ่นเฉียวก็เอาเอกสารที่จัดการเสร็จส่งให้เซียวซู่ เซียวซู่ได้แต่ยื่นมือรับไป จากนั้นก็พยักหน้า
หลังจากเข้าไปที่ออฟฟิศ เซียวซู่รายงานการทำงานของตัวเองเสร็จ ก็เอาเอกสารที่เสิ่นเฉียวส่งให้เขามาวางตรงหน้า
“คุณชายเย่ นี่เป็นเอกสารที่เสิ่นเฉียวให้ผมช่วยเอามาส่งให้ครับ”
ได้ยินดังนั้น เย่โม่เซินก็เงยหน้าขึ้นมา“นายพูดว่าอะไรนะ?”
“แปลกใช่มั้ยครับ ตอนนี้ผู้ช่วยเสิ่นควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลถึงจะถูก แต่ตอนที่ผมจะมาที่ห้องทำงานของคุณชายเย่อยู่ผมก็เห็นผู้ช่วยเสิ่นกลับมาทำงานแล้วครับ คุณชายเย่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากรอจนเซียวซู่เดินออกไป ปากกาที่เย่โม่เซินถืออยู่ในมือก็ค่อยๆกำแน่นขึ้น คิ้วขมวดกันขึ้นมา
ยัยผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหรอกเหรอ?ทำไมอยู่ๆถึงออกมาล่ะ?
คิดถึงตรงนี้ เย่โม่เซินก็วางปากกาในมือลง แล้วหันเก้าอี้หมุนออกห้องไป
เสิ่นเฉียวเคาะตัวหนังสือในบรรทัดสุดท้ายเสร็จ จากนั้นก็บันทึกข้อมูล แล้วกดปริ้นท์ ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นมานั้นก็พลันได้ยินเสียงที่เย็นชา
“ออกโรงพยาบาลทำไม?”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้นยืนก็หยุดลงทันที เธอเอียงคอแล้วหันไปมองต้นเสียง
เย่โม่เซินนั่งอยู่ตรงนั้น มองเธอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
เผชิญกับดวงตาที่ดำลึกของเขา เสิ่นเฉียวนิ่งไป ก่อนจะอธิบายว่า:“ร่างกายไม่ได้มีอาการหนักอะไร ฉันก็เลยออกโรงพยาบาลมาไงคะคุณชายเย่”
“ไม่มีอาการหนัก?”เย่โม่เซินหรี่ตา ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไปรวดเร็วและดุดัน:“หมอไม่ได้บอกเหรอว่าเธอต้องอยู่ดูอาการสองวัน?เธอมีหูไว้กันสมองเฉยๆหรือไง?”
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปาก และกำหมัดแน่น:“คุณชายเย่คะ ต้องพูดแรงแบบนี้ด้วยเหรอคะ?ฉันออกจากโรงพยาบาลมาได้ก็เพราะยื่นขอจากคุณหมอแล้ว และคุณหมอก็เห็นด้วย นั่นก็แสดงว่าร่างกายของฉันปกติแล้ว”
เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากบางๆของเขาแน่น แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา
“ก็ถูกนะ เพราะผู้หญิงที่มีความลับมากมายแบบเธอ ไม่แน่ว่าอาการป่วยที่เป็นก็อาจจะแค่แกล้งทำ จะยอมให้ตัวเองต้องเจ็บตัวได้ยังไงจริงมั้ย?”
พูดจบ เย่โม่เซินไม่สนว่าเสิ่นเฉียวจะมีปฏิกิริยายังไง เขาหันวีลแชร์แล้วเดินออกไปทันที
คำพูดของเขาทำให้เสิ่นเฉียวโมโหอยู่ข้างใน แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างข้างในที่รั้งเธอเอาไว้ เธอกำหมัดแน่นแล้วเดินตามไป
“ในเมื่อคุณคิดว่าแม้แต่อาการป่วยของฉันยังเป็นเรื่องโกหก แล้วคุณจะไปส่งฉันที่โรงพยาบาลทำไม?เย่โม่เซิน หรือว่าที่ผ่านมาคุณเล่นตัวมาตลอด?”
เย่โม่เซินหยุดเดิน จากนั้นก็เหลือบมอง น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับเป็นเสียงที่มาจากนรก
“ครั้งหน้าถ้าจะตายก็ช่วยไปตายไกลๆ อย่ามาตายที่หน้าประตูบริษัท ฉันไม่อยากจะแลตามองเธอ”
เสิ่นเฉียว:“……”
ไม่ทันระวัง เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากตัวเองจนเป็นแผล
ไม่สำเร็จ เธอก้มหน้าก้มตา รู้สึกว่าร่างกายเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก
ช่างมัน แค่รู้ว่าเย่โม่เซินเขาเป็นคนยังไงก็พอแล้ว หลังจากนี้เธอก็ไม่ต้องคาดหวังจากเขาอีกต่อไปแล้ว
เสิ่นเฉียวยื่นมือไปหยิบเอกสารที่ปริ้นออกมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เย็บเล่มแล้วเอาเข้าแฟ้ม
พอถึงเวลาเลิกงาน หานเส่โยวก็โทรศัพท์มาหาเธอ บอกเธอว่าต้มซุปไก่มาให้ แล้วก็อยากจะมาดูอาการเธอด้วย จึงถามเธอว่าสามารถพาเธอขึ้นไปข้างบนได้หรือเปล่า
เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าหานเส่โยวมีน้ำใจมากๆ คิดว่าตอนใกล้เลิกงาน ให้เธอขึ้นมาไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จากนั้นก็ลงลิฟต์ไปพาหานเส่โยวขึ้นมาที่ทำงานของตัวเอง
“คิดไม่ถึงเลยเฉียวเฉียว ว่าอยู่ๆฉันก็มีโอกาสได้มาที่บริษัทตระกูลเย่”
“มาที่นี่……แล้วยังไงเหรอ?”
“บริษัทตระกูลเย่เป็นบริษัทใหญ่เพียงบริษัทเดียวในเมืองเป่ย คนธรรมดาเข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอกนะ ต่อให้เป็นพี่ฉัน ก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้มาเหมือนกัน เพราะยังไงทั้งสองบริษัทก็ไม่ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน แต่วันนี้ฉันโชคดีที่มีเธอ ในที่สุดก็ได้มาที่นี่แล้ว”หานเส่โยวกอดแขนของเธอ แล้วพูดขอบคุณเธอ
“จริงสิ นี่เป็นซุปที่ฉันให้เชฟที่บ้านเป็นคนทำให้เธอ เชฟบอกกับฉันว่าเหมาะกับคนที่กำลังท้องกำลังไส้ที่สุด มีส่วนผสมหลายอย่างมากเลยนะ ถึงฉันจะไม่รู้จัก แต่ว่าเชฟเป็นคนที่ทำมา ถ้าได้ดื่มจะต้องดีมากแน่ๆ”
พูดจบ หานเส่โยวก็เปิดขวดเก็บอุณหภูมิออก แล้วเทใส่ถ้วยให้เสิ่นเฉียว
ทันใดนั้นกลิ่นของน้ำซุปที่เข้มข้นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง พยาธิในท้องเสิ่นเฉียวทำงานทันที จากนั้นก็ยกซุปขึ้นมาซดไปหลายคำ
“เส่โยว ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจน่า พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ อ่ออีกเรื่อง……ห้องทำงานของคุณชายเย่อยู่ไหนเหรอ?”หานเส่โยวบิดมือไปมา แล้วหรี่ตายิ้ม:“ฉันขอไปดูหน่อยได้มั้ย?”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็ทำหน้าลำบากใจออกมา
ไปดูห้องทำงานของเย่โม่เซิน?เธอจะใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วตอบเธอ:“เส่โยว อันนี้น่าจะไม่ได้นะ คุณชายเย่เขาไม่ค่อยชอบ ถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมา เขาอาจจะ ……”
“โถ่ เธออย่ากลัวสิ ถึงเวลานั้นฉันไม่ลากเธอเข้ามาเกี่ยวด้วยหรอก เธอนั่งอยู่ตรงนี้ละค่อยๆจิบซุปไปนะ ฉันจะไปเดินหาเอง”
พูดจบ ก็ไม่รอให้เสิ่นเฉียวมาขัดขวาง หานเส่โยวรีบก้าวเดินออกไปอย่างไว
ขณะนั้นเอง เสิ่นเฉียวก็กังวลจนไม่แม้แต่จะอยากดื่มซุปต่อไป เธอเอาถ้วยซุปวางลงแล้วรีบเดินตามไป
หานเส่โยวเดินไวมาก ไม่ทันไรก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานแล้ว จากนั้นก็ยืนเกาะอยู่ข้างประตูเพื่อแอบดูเย่โม่เซิน