บทที่ 621 ยอมรับผิดและอ้อนหม่ามี๊
“อย่างนั้นก็หมายความว่า สิ่งที่แม่เคยสอนหรือเคยบอกลูกไป ลูกลืมไปหมดแล้วใช่ไหม?”
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไร หานมู่จื่อก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แม้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะก้มหน้ารับผิดแล้ว ท่าทางน่าสงสารจับใจ ใครเห็นคงทำใจด่าทอเขาไม่ลง
แต่หานมู่จื่อรู้ดีว่า ถ้าครั้งนี้ไม่ดุด่าเขา เขาคงไม่รู้สึกกลัว
ดังนั้นน้ำเสียงของหล่อนจึงไม่ได้อ่อนหวานเพราะท่าทางก้มหัวด้วยความรู้สึกผิดของเขา แต่กลับดุมากขึ้นกว่าเดิม
“เหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง และอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดีขึ้นมาล่ะ? เด็กอายุสี่ห้าขวบอย่างลูก ถ้าถูกคนอื่นจับไปจริงๆ ลูกจะมีความสามารถพอที่จะตอบโต้เขาได้หรือไม่? ถ้าถึงตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จะให้หม่ามี๊ทำยังไง?”
ความคิดของหล่อนค่อนข้างฟุ้มเฟ้อ จนทำให้คิดจินตนาการไปถึงขึ้นว่าเสี่ยวหมี่โต้วถูกทำร้าย ตาของหล่อนแดงก่ำขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็สะอึกสะอื้นเช่นกัน
เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วที่ก้มหน้ารับคำสั่งสอนจากแม่อยู่ตลอดได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กน้อยรีบเงยหน้าขึ้น และเห็นตาของแม่แดงมาก
เด็กน้อยรู้สึกผิดขึ้นมาทันที แววตาใสเป็นประกายกลับมีความรู้สึกสับสนกระวนกระวายแฝงอยู่ เสี่ยวหมี่โต้วรีบเดินเข้าไปจับมือของหานมู่จื่อไว้แน่น
“หม่ามี๊ เสี่ยวหมี่โต้วผิดไปแล้ว หม่ามี๊อย่าโกรธเสี่ยวหมี่โต้วเลยนะ”
เมื่อเห็นสีหน้ากระวนกระวายของลูก หานมู่จื่อรู้สึกสะอื้นมากกว่าเดิม ครั้งนี้หล่อนโกรธมากจริงๆ
ในขณะที่หล่อนต้องคอยระวังเย่หลิ่นหาน ก็ต้องคอยดูแลเขาเช่นกัน
แต่เจ้าเด็กน้อยเจ้ากรรมทำตัวแสบซนเหลือเกิน กลับออกไปด้วยกันกับเย่หลิ่นหาน ทั้งๆที่ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เคยบอกกล่าวเขาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ครั้งนี้เขาถึงไม่เชื่อฟังขนาดนี้
“ลูกอย่ามาจับมือแม่” หานมู่จื่อสะบัดมือเขาออก เพราะไม่อยากสนใจเขา
หลังจากเสี่ยวหมี่โต้วถูกสะบัดมือออก เขาก็รู้สึกเสียใจจนเบ้ปากทันที ขณะเดียวกันเสียงของลิฟต์ก็ดังขึ้นและเปิดออก หานมู่จื่อรีบเดินออกไปทันที
เสี่ยวหมี่โต้วรีบเดินตามไป
“หม่ามี๊ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
หานมู่จื่อก้มตัวลงกดรหัส ไม่สนใจลูกที่อยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย
หล่อนผลักประตูออก แม้ว่าจะโกรธเขามาก แต่หล่อนยังคงเอียงตัวหลีกทางให้เสี่ยวหมี่โต้วเข้ามา เหมือนว่าเสี่ยวหมี่โต้วพอรู้ว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่ ตอนที่หล่อนเอียงตัวเขาจึงกระโจนเข้าไปด้านในทันที
ปั้ง!
หลังจากประตูกันนิรภัยปิดลง หานมู่จื่อ หันมาเปลี่ยนรองเท้าที่ทางเข้า จากนั้นเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขกทันที โดยไม่พูดจาอะไร
เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วเห็นเช่นนั้น รู้ว่าครั้งนี้เขาเจอด่านมหาโหดเข้าแล้ว
หม่ามี๊เคยโกรธเขาน้อยครั้งมาก แม้แต่คำพูดด่าทอหนักๆยังไม่กล้าพูดออกมา แต่วันนี้หล่อนกับโกรธนานขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องร้ายแรงมากแน่นอน
เสี่ยวหมี่โต้วรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก โทษตัวเองที่ทำตัวฉลาดเกินตัว เขาเดินก้าวเท้าน้อยๆเข้าไปหาหานมู่จื่อ แต่เมื่อเดินใกล้ถึงหล่อน เขากลับเลี้ยวไปอีกทาง จากนั้นเดินเข้าไปในห้องครัว
สองนาทีผ่านไป เสี่ยวหมี่โต้วเดินออกมา พร้อมกับน้ำผลไม้ในมือหนึ่งแก้ว
เสี่ยวหมี่โต้วถือน้ำผลไม้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าหานมู่จื่อ “หม่ามี๊ ดื่มน้ำผลไม้ให้ใจเย็นลงหน่อยนะครับ”
หานมู่จื่อกอดหมอนด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ เมื่อได้ยินเสี่ยวหมี่โต้วพูดขึ้น หล่อนไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีขยับตัว อีกทั้งไม่เหลือบสายตามองเขาอีกด้วย
“หม่ามี๊…หม่ามี๊….หันมามองเสี่ยวหมี่โต้วหน่อยนะครับ นี่เป็นน้ำผลไม้ที่เสี่ยวหมี่โต้วเอามาให้หม่ามี๊นะครับ ถ้าหม่ามี๊ไม่อยากเห็นหน้าเสี่ยวหมี่โต้ว หม่ามี๊มองน้ำผลไม้สักหน่อยก็ยังดีครับ”
เสี่ยวหมี่โต้วยังดื้อดึงไม่ยอมแพ้ เขาไม่รู้สึกท้อแท้ที่แม่ไม่สนใจเขา แต่กลับยืนหยัดสู้หน้าเข้าไปหาหานมู่จื่อ
เด็กตัวน้อยคลอเคลียอยู่ที่ขาของหล่อน พลางใช้มือนุ่มนิ่มลูบไล้
อันที่จริงหานมู่จื่อเริ่มหายโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว แต่หากเขาสนใจเสี่ยวหมี่โต้วขึ้นมาทันทีในตอนนี้ จะทำให้เด็กน้อยรู้สึกว่าตัวเองกำลังล้อเล่นอยู่รึเปล่า จากนั้นก็จะทำแบบนี้ต่อ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร หล่อนเป็นแม่ของเขา ในบทบาทของผู้เป็นแม่ หล่อนเพียงแค่อยากจะดูแลลูกของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ให้เขาถูกทำร้ายจะทุกสิ่งทั้งปวง
เมื่อคิดถึงตอนนี้ หานมู่จื่อถอนหายใจเบาๆ เหลือบมองเสี่ยวหมี่โต้วที่เกาะอยู่ข้างขา จากนั้นหยิกแก้มของเขาอย่างหมดทางเลือก
“ลูกรู้ไหมว่าหม่ามี๊โกรธมากขนาดไหน?”
เสี่ยวหมี่โต้วรีบยกสองมือขึ้นมาแสดงถึงการยอมแพ้ จากนั้นพยักหน้าลงเต็มแรง “หม่ามี๊ เสี่ยวหมี่โต้วผิดไปแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วไม่ควรเห็นแก่กินจนไปกับลุงหานแบบนั้น ผมรับประกันว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแน่นอน”
ท่าทางที่เขายอมรับผิด ทำให้หานมู่จื่อทำใจถือโทษโกรธเขาต่อไม่ลง ทำได้เพียงถอนหายใจออก
“หม่ามี๊ทำไปเพราะเป็นห่วงลูก ถ้าวันนี้คนที่มารับลูกเป็นคนร้ายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?”
เสี่ยวหมี่โต้วตั้งใจมองหล่อน พูดขึ้น: “หม่ามี๊สบายใจได้ แม้ว่าเสี่ยวหมี่โต๊ะจะแยกแยะคนดีคนชั่วไม่ค่อยออก แต่ถ้าไม่ใช่คนที่หม่ามี๊รู้จัก เสี่ยวหมี่โต้วไม่มีทางไปกับเขาแน่นอน ดังนั้นหม่ามี้อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
เขาพูดพลางเขย่าแขนของหานมู่จื่อ
“หม่ามี๊ หม่ามี๊ อย่าโกรธเสี่ยวหมี่โต้วได้ไหมครับ?”
หานมู่จื่อไม่พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าไม่โกรธแล้ว
เสี่ยวหมี่โต้วฉวยโอกาสหยิบน้ำผลไม้ยื่นให้หม่ามี๊อย่างขยันขันแข็ง : “หม่ามี๊ ดื่มน้ำผลไม้หน่อยนะครับ”
เด็กน้อยที่ถือน้ำผลไม้แก้วนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ จนกระทั่งตอนนี้ หานมู่จื่อจึงจะยื่นมือออกไปรับ
“ห้ามให้มีครั้งต่อไปอีกนะ”
“เสี่ยวหมี่โต้วรับประกัน ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแน่นอนครับ”
เมื่อเห็นหานมู่จื่อดื่มน้ำผลไม้ เสี่ยวหมี่โต้วจึงรู้สึกสบายใจขึ้น หม่ามี๊ยอมคุยกับเขาแล้ว และยอมดื่มน้ำผลไม้ของเขาด้วย แสดงว่าให้อภัยเขาแล้ว
หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็นั่งกอดกันบนโซฟา จู่ๆเสี่ยวหมี่โต้วก็นึกสงสัย
“หม่ามี๊ เพื่อเป็นการชดเชยความผิดที่ผมทำไป วันนี้เสี่ยวหมี่โต้วจะทำอาหารเย็นให้นะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานมู่จื่อรู้สึกประหลาดใจจนเงยหน้าขึ้นมอง “ลูกจะทำอาหาร?”
กะ…กินได้เหรอ?
คำพูดสุดท้ายแน่นอนว่าหล่อนไม่ได้พูดออกไป อันที่จริงหล่อนยังไม่เคยกินข้าวฝีมือของเสี่ยวหมี่โต้วเลยสักครั้ง
“ใช่แล้วหม่ามี้ ผมคอยเรียนกับคุณน้าเสี่ยวเหยียนมาโดยตลอด แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยรึเปล่า หม่ามี๊ลองดูหน่อยไหมครับ?”
หานมู่จื่อครุ่นคิดสักพัก สุดท้ายจึงพยักหน้าลง “งั้น…ลองดูหน่อยแล้วกัน”
“โอเคครับหม่ามี๊” เสี่ยวหมี่โต้วรีบกระโดดขึ้นโซฟา: “หม่ามี้นั่งดูทีวีรอผมตรงนี้นะ เสี่ยวหมี่โต้วจะไปทำอาหารให้หม่ามี๊กิน”
“อื้ม” หานมู่จื่อพยักหน้า คิดในใจว่าเสี่ยวหมี่โต้วคงทำอาหารได้ไม่อร่อยนัก แต่ยังไง…ถึงตอนนั้นหล่อนค่อยพาเสี่ยวหมี่โต้วออกไปกินข้างนอกก็ได้
เย่โม่เซินบอกว่าแถวนี้ปลอดภัยมาก ไม่ต้องกังวลอะไร งั้นหล่อนก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่นแล้ว หากจะออกจะบ้านตอนกลางคืนก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
เมื่อคิดไปคิดมา หานมู่จื่อคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง
เสี่ยวหมี่โต้วตัวเล็กขนาดนั้น ถ้าเขาทำอาหารต้องยืนบนเก้าอี้แน่นอน ถ้าเกิดหกล้มขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?
หานมู่จื่อรีบลุกขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจ ไม่ถึงสามวินาทีก็เดินตรงไปถึงห้องครัว
“เสี่ยวหมี่โต้ว หรือว่า…ให้หม่ามี๊ทำดีกว่าไหม?”