บทที่ 622 เป็นเพราะหล่อนโง่
“ไม่เป็นไรครับหม่ามี๊” เสี่ยวหมี่โต้วออกแรงเปิดตู้เย็น เขย่งเท้าหยิบวัตถุดิบออกมา พลางหันหลังมาพูดกับหล่อน: “หม่ามี้ไปพักผ่อนก็เถอะครับ ขอเวลาให้เสี่ยวหมี่โต้วสิบห้านาที”
“สิบห้านาที?”
หานมู่จื่อขมวดคิ้วขึ้น อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป
“สิบห้านาทีจะทำอะไรได้?”
“ต้มบะหมี่ไงครับหม่ามี๊”
ต้มบะหมี่…
หานมู่จื่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดขึ้น: “หม่ามี๊ช่วยลูกดีกว่า”
เสี่ยวหมี่โต้วครุ่นคิดสักพัก จากนั้นพยักหน้าลง
“โอเคครับ”
จากนั้นสองแม่ลูกช่วยกันต้มบะหมี่หนึ่งหม้อ ถึงแม้จะเป็นการช่วยกัน แต่อันที่จริงหานมู่จื่อไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย เพราะหล่อนเห็นว่าฝีมือเสี่ยวหมี่โต้วไม่ธรรมดาเลย เขาบอกว่าได้เรียนทำอาหารกับน้าเสี่ยวเหยียนก็คือเรียนจริงๆ
ท่าทางทะมัดทะแมง นอกจากจะเป็นเพราะตัวเตี้ยต้องยืนบนเก้าอี้แล้ว อย่างอื่นไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นทั้งสองช่วยกันตักบะหมี่ใส่ถ้วยมานั่งกินที่โต๊ะอาหาร
หานมู่จื่อมองดูหน้าตาและสีสันของบะหมี่ตรงหน้า รู้สึกซึ้งใจขึ้นมาทันที
ตั้งแต่เป็นเด็กแบเบาะจนถึงตอนนี้ เขาสามารถทำอาหารให้หม่ามี๊กินได้แล้ว ความรู้สึกแบบนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไร
เสี่ยวหมี่โต้วเริ่มหยิบตะเกียบคีบบะหมี่เข้าปากก่อน ท่าทางของเขาดูร้อนรน กระทั่งตอนซูดเข้าปากยังถูกลวกเข้าที่ริมฝีปาก จนทำให้เขาตกใจจนต้องใช้ตะเกียบคีบบะหมี่กลับลงไปในถ้วย
“ระวังหน่อย ไม่ต้องรีบขนาดนั้น” หานมู่จื่อมองเขาอย่างจนปัญญา จากนั้นหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดไปที่มุมปากที่เลอะน้ำซุปให้เขา: “มีแค่พวกเราสองคนแม่ลูก ไม่มีใครมาแย่งลูกหรอกนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตาด้วยความใสซื่อ : “หม่ามี๊ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่อยากลองชิมรสชาติอาหารฝีมือของตัวเอง”
แน่นอนว่าหานมู่จื่อรู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เพราะหล่อนเข้มงวดกับเขามาตั้งแต่เด็ก และอาจจะเกี่ยวกับเรื่องกรรมพันธุ์อีกด้วย ดังนั้นท่าทางการกินของเสี่ยวหมี่โต้วจึงสง่างามและเชื่องช้ามาโดยตลอด และไม่เคยให้หล่อนต้องสอน
เป็นเด็กดีมีคุณภาพตั้งแต่เกิด ผนวกกับการชี้แนะสั่งสอนเลี้ยงดูมาอย่างสม่ำเสมอ
“หม่ามี้รู้จ้า แม้ว่าจะเป็นอาหารที่ลูกทำเอง ก็ไม่ต้องรีบ ค่อยๆกินนะ”
“ครับ”
หานมู่จื่อเริ่มกินคำแรก รู้สึกว่า…รสชาติไม่เลวเลย ฝีมือใกล้เคียงกับเสี่ยวเหยียนมาก
หล่อนมองเสี่ยวหมี่โต้วด้วยความตกตะลึง : “ลูก…”
“หม่ามี๊ อร่อยไหมครับ?”
หานมู่จื่อพยักหน้าลง รู้สึกเหลือเชื่อมาก นี่เป็นอาหารที่ลูกของตัวเองทำงั้นเหรอ
“ลูกใส่เครื่องปรุงพิเศษอะไรลงไปรึเปล่า?”
“เมื่อกี้หม่ามี๊ก็เห็นหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ก็จริง เมื่อครู่หล่อนอยู่ในห้องครัวกับเขาตลอด เสี่ยวหมี่โต้วไม่ได้ใส่ผงปรุงรสพิเศษอะไรลงไปเลย มีเพียงแค่การควบคุมไฟ รสชาติจึงเข้ากันได้พอดีเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้หานมู่จื่อจึงยิ้มขึ้นมาด้วยความปลื้มใจ : “เสี่ยวหมี่โต้ว โตขึ้นแล้วจริงๆ”
หลังจากที่ทั้งสองกินบะหมี่กันเสร็จ หานมู่จื่อไปล้างจาน จากนั้นให้เสี่ยวหมี่โต้วขึ้นไปอาบน้ำด้านบน เสี่ยวหมี่โต้วก็ยอมทำตามด้วยความเชื่อฟัง
หานมู่จื่อเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อย จึงเตรียมจะขึ้นไปอาบน้ำด้านบน แต่กลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเสี่ยวเหยียน
ไม่รู้ว่าตอนนี้หล่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง ดูเหมือนว่าพอเลิกงานก็จะไปหาหานชิง?
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา?
เดิมทีหานมู่จื่อไม่อยากรบกวนหล่อน แต่เมื่อคิดไปคิดมา รู้สึกว่าควรจะส่งข้อความถามสถานการณ์จากหล่อนคงจะดีกว่า
หลังจากที่ส่งข้อความไปไม่นาน เสี่ยวเหยียนก็ตอบกลับ
ฉันจะบอกเธอให้นะมู่จื่อ แพ้ชนะก็ขึ้นอยู่กับครั้งนี้ เธออย่ามารบกวนฉันแล้วกัน
แพ้ชนะขึ้นอยู่กับครั้งนี้?
เมื่อเห็นข้อความนี้ หานมู่จื่อรู้สึกสงสัยขึ้นมา จากนั้นนึกถึงตอนที่เสี่ยวเหยียนบอกว่าจะวางยาหานชิง หล่อนขมวดคิ้วขึ้นทันที
(เธอคงไม่คิดจะวางยาพี่ชายฉันจริงๆใช่ไหม?)
(พูดเพ้อเจ้ออะไรกัน? แม้ว่าฉันอยากทำแต่ก็ไม่กล้า แค่ขอกินข้าวฟรีด้วยแค่นั้นเอง ฮือๆ…รู้สึกขายหน้าจัง)
หลังจากที่เห็นข้อความนี้ หานมู่จื่อพอจะจินตนาการใบหน้าร้องไห้เสียใจของเสี่ยวเหยียนขึ้นมาได้ จนทำให้หล่อนรู้สึกขำ
(ไม่เป็นไร ยังไงหน้าก็มีไว้ขายอยู่แล้ว)
(การปลอบของเธอช่างพิเศษเหนือชั้นจริงๆ!)
(สู้ๆนะ)
หลังจากให้กำลังใจหล่อนเสร็จ หานมู่จื่อก็ไม่ได้ส่งข้อความให้เสี่ยวเหยียนต่อ กลับเห็นใบหน้ารูปโปรไฟล์อันเหม่อลอยของเย่โม่เซิน
หล่อนอยากโทรหาเย่โม่เซิน แต่กลับรู้สึกไม่กล้า
เพราะหล่อนเป็นคนขอให้เขาให้พื้นที่ส่วนตัวเอง แต่สุดท้ายตอนนี้กลับอยากโทรหาเขา
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ หานมู่จื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป หล่อนวางมือถือลง และหยิบขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายจึงกดโทรหาเย่โม่เซิน
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ประเทศไหน กำลังทำงานอยู่ที่ไหน? โซนเวลาจะต่างกับที่หล่อนอยู่รึเปล่า?
เสียงรอสายดังขึ้น ทำให้ใจของหานมู่จื่อสั่นขึ้นมาทันที
เมื่อมีเสียงคนรับสายดังขึ้น หานมู่จื่อตกใจจนมือสั่น จนเกือบจะทำมือถือหล่น แต่เมื่อได้ยินเสียงอันไม่คุ้นเคยของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น หานมู่จื่อนิ่งชะงักไปทันที
“สวัสดีค่ะ”
หล่อน?
โทรผิด?
หานมู่จื่อตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นหยิบมือถือออกมาดู มองไปที่ตัวอักษรบนหน้าจอ
นี่ก็คือเบอร์โทรศัพท์ของเย่โม่เซินไม่ผิดนี่นา…
แต่ทว่า ทำไมผู้หญิงเป็นคนรับสายล่ะ?
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น รู้สึกได้ถึงใจที่เต้นสั่นระรัวขึ้นมา
“สวัสดีค่ะ ขอสาย…”
“คุณจะคุยกับโม่เซินใช่ไหมคะ? ตอนนี้เขาไม่ว่างรับสายค่ะ”
โม่เซิน
เสียงเล็กนุ่มและอ่อนหวานของหญิงสาว ฟังดูเหมือนเป็นผู้หญิงสาวสวยและอ่อนโยน
ริมฝีปากของหล่อนเผยอขึ้น ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ คู่สายกลับถอนหายใจออก
“รอให้เขาอาบน้ำเสร็จก่อน ฉันค่อยให้เขาโทรกลับนะคะ”
หานมู่จื่อ : “…”
สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หานมู่จื่อพูดขึ้น : “ไม่เป็นไรค่ะ”
จากนั้นกดวางสายไปอย่างรวดเร็ว
ขาทั้งสองเริ่มอ่อนแรง หล่อนพิงตัวอยู่ที่ประตู สีหน้าซีดเซียว
หลายปีที่ผ่านมา หล่อนคอยติดตามเฝ้าดูเขามาตลอด รู้เป็นอย่างดีว่านอกจากเซียวซู่แล้วก็ไม่มีใครเป็นผู้ช่วยที่ค่อยอยู่เคียงข้างเขาอีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลขาที่เป็นผู้หญิง
อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นเรียกเขาว่าโม่เซิน ทั้งดูสนิทและห่วงใยกัน ต้องไม่ใช่เลขาแน่นอน
ไม่ใช่เลขา งั้น…ผู้หญิงที่สนิทกับเขาได้มากขนาดนี้ ยังมีสถานะอื่นอีกเหรอ?
คำตอบก็คือ…ไม่บอกก็รู้กันดี
หานมู่จื่อกำมือถือไว้แน่น จนเล็บซีดขาว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หล่อนก็เป็นเหมือนกับคนที่ปลงกับทุกเรื่อง ฝืนยิ้มด้วยความขมขื่น
“มู่จื่อนะมู่จื่อ ตอนนี้เธอ…กำลังคิดอะไรอยู่? ตลอดเวลาห้าปี เธอเชื่อว่าเขาจะสงวนรักษาตัวเองไว้ให้เธอจริงๆงั้นเหรอ?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาของหานมู่จื่อแฝงไปด้วยท่าทีเยาะเย้ยตัวเอง หล่อนวางมือถือลงบนโต๊ะ จากนั้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ
*
ในโรงแรมที่ต่างประเทศ
หญิงสาวลูกครึ่งแสนสวยคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าจากมือถือ ใบหน้าอันนิ่งขรึมก็ฉีกยิ้มมุมปากขึ้นมา จากนั้นหยิบมือถือออกมา จรดนิ้วมือลงบนประวัติการโทรและลบออกทันที
ขณะเดียวกันหญิงสาวที่โทรหาเขา และยังรีบร้อนวางสายไปเช่นนั้น ต้องเป็นผู้หญิงที่หลงรักเย่โม่เซินแน่นอน
เย่โม่เซินถือเป็นผู้ชายที่เข้าตาหล่อน หล่อนต้องกำจัดผู้หญิงทั้งหมดที่คิดจะสานสัมพันธ์และตีสนิทกับเขา
“เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
เสียงอันเย็นชาของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตวนมู่เสว่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือถือก็ถูกชายหนุ่มรูปงามแย่งไปทันที