บทที่ 629 รู้รึเปล่าว่าเธอเหมือนอะไร
คิดไม่ถึงว่าเย่หลิ่นหานจะดับไฟลง และเดินตามหล่อนไป
หานมู่จื่อรู้สึกประหลาดใจ “ประธานหาน?”
“ไปส่งคุณข้างบนดีกว่า” เย่หลิ่นหานยิ้ม “เห็นคุณไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ถ้าให้คุณขึ้นไปคนเดียว ผมไม่สบายใจ”
หานมู่จื่อ : “…”
หล่อนยกมือขึ้นมาหยิกแก้มตัวเอง สภาพหล่อนในตอนนี้แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เย่หลิ่นหานเห็นท่าทางของหล่อนกลับทำให้เขารู้สึกว่าหล่อนน่ารักผิดปกติ เป็นถึงแม่คนแล้ว แต่การกระทำบางอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจก็ดูใสซื่อดี
เย่หลิ่นหานอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมา แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็หยุดความคิดนั้นไป
“ไปกันเถอะ ผมไปส่งคุณ”
เขาเพิ่งเดินออกไป ก็มีใครบางคนรีบวิ่งตรงเข้ามา
เขาคือเยาเยา หล่อนรีบเดินตรงเข้ามาทางด้านข้างของหานมู่จื่อ : “มู่จื่อ ในที่สุดเธอก็กลับมา ฉันมีธุระจะคุยกับเธอ”
“ธุระอะไรเหรอ?”
เยาเยาเหลือบมองเย่หลิ่นหาน หานมู่จื่อเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นหันไปพูดกับเขา : “วันนี้ขอบคุณการต้อนรับอย่างดีจากประธานหานนะคะ หากมีโอกาสฉันของเลี้ยงคืนนะคะ”
ด้านข้างหล่อนมีเยาเยาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน คงไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เย่หลิ่นหานจะไปส่งหล่อนด้านบน จึงทำได้เพียงยิ้ม และพูดขึ้น “โอเคครับ ผมจำคำพูดของคุณไว้แล้วนะ ต้องมีสักวันแน่นอน เย็นนี้ผมมารับคุณ? และจะได้ไปรับเสี่ยวหมี่โต้วด้วย?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหานมู่จื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย : “ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ฉัน…”
“ตามนี้แล้วกันนะครับ เลิกงานแล้วผมมารับคุณ”
จากนั้นเย่หลิ่นหานไม่เปิดโอกาสให้หล่อนได้ปฏิเสธ พูดจบก็เดินออกไปทันที
หลังจากที่เขากลับไป หานมู่จื่อมองเขาขึ้นรถไปด้วยความปวดหัว จากนั้นเพิ่งนึกถึงเยาเยาขึ้นมาได้ จึงหันไปมอง : “เธอมีธุระอะไรกับฉันงั้นเหรอ?”
เยาเยาส่ายหน้า : “ฉันไม่ได้มาหาเธอ แต่คุณชายเย่มาหาเธอต่างหาก”
“อะไรนะ?”
คุณชายเย่? หล่อนหมายถึงเย่โม่เซิน?
เยาเยากระแอมขึ้น มองดูเย่หลิ่นหานที่ขับรถออกไป ถามด้วยความมึนงง : “มู่จื่อ เธอกับ…เป็นอะไรกันเหรอ? เขาจีบเธออยู่เหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานมู่จื่อขมวดคิ้วขึ้น ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เยาเยาก็พูดขึ้นต่อ : “เห้อ ตอนนี้ไม่พูดเรื่องนี้กับเธอก่อนดีกว่า เรื่องนี้ก็สำคัญ เธอรีบขึ้นไปหาเขาที่ห้องทำงานก่อนเถอะ คุณชายเย่รออยู่ที่ห้องทำงานของเธอ”
เยาเยาพูดพลาง ผลักหล่อนเข้าไปในลิฟต์
“เดี๋ยวก่อน ที่เธอพูดว่าคุณชายเย่ก็คือเขาใช่ไหม?”
เขาไปทำงานต่างประเทศไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆถึงกลับมาแล้วล่ะ? อีกอย่างยังมาที่บริษัทหล่อนด้วย?
คนที่ไม่พูดคุยอะไรกันสักคำมาหลายวัน มาถึงที่นี่ทำอะไรกัน?
“ยังมีคุณชายเย่ไหนอีกล่ะ?” เยาเยาย้อนถาม จากนั้นหันไปมองหานมู่จื่อพูดขึ้น : “เขารอเธอมานานมากแล้ว ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วล่ะ”
หนึ่งชั่วโมงเหรอ?
หรือเขาจะมาตั้งแต่ตอนที่หล่อนเพิ่งออกไปเย่หลิ่นหาน?
“ฉันไปก่อนนะ!”
หลังจากที่ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เยาเยาก็กลับไปทำงานที่ชั้นของตัวเอง ประตูลิฟต์ถูกปิดลงอีกครั้งจากนั้นขึ้นไปด้านบนต่อ
นั่นเป็นห้องทำงานของตัวเองแท้ๆ แต่ตอนนี้หานมู่จื่อกลับรู้สึกหายใจหอบด้วยความตื่นเต้น หล่อนที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูแต่ไม่ผลักประตูเข้าไป กลับยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น
ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเท่าไหร่ จนสุดท้ายหานมู่จื่อถอนหายใจออกมา จากนั้นยื่นมือผลักประตูเข้าไป
เดิมที่คิดว่าจะเห็นเย่โม่เซินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของหล่อน สายตากวาดมองไปทั่วห้อง กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเปิดประตูออกมา ภายในห้องกลับว่างเปล่า
หานมู่จื่อตกตะลึง จากนั้นเดินเข้าไป
บอกว่าอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?
แต่ทำไมไม่มีใครในห้องทำงานเลยล่ะ?
หรือว่าเยาเยาโกหกหล่อน? แต่ถ้าหล่อนโกหกจะเป็นผลดีอะไร? หานมู่จื่อจึงเข้าไปด้านในด้วยความสงสัย เมื่อหล่อนกำลังคิดจะเดินไปปิดประตู กลับมีเงาของใครบางคนปรากฏขึ้น หล่อนยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับมือทั้งสองไว้ จากนั้นกดลงที่ริมผนัง
“โอ๊ย…อื้อ” หานมู่จื่อเพิ่งจะร้องออกมาด้วยความตกใจ ก็ถูกปิดปากด้วยการจูบ
หานมู่จื่อเบิกตาโตกว้าง เมื่อเห็นใบหน้าหนุ่มหล่อในระยะประชิด
เย่โม่เซิน…
เมื่อครู่หล่อนไม่เห็นใครในห้องทำงานนี่นา นี่เขาโผล่มาจากไหนกันแน่?
ตอนนี้หานมู่จื่อไม่มีอารมณ์จะไปคิดถึงเรื่องพวกนี้
ในขณะที่หานมู่จื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดออกซิเจน เย่โม่เซินก็ยอมปล่อยหล่อนออก กดหัวหล่อนลงและหายใจรดใส่
“คิดถึงผมบ้างไหม?”
เขาเอ่ยปากพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึมและแหบแห้ง ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดมากล้นเหลือเกิน
หานมู่จื่อเผยอปากจะพูด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทนตัวเองไม่ไหว กดหัวลงจูบหล่อน จากนั้นจูบไปที่จมูกของหล่อนและสุดท้ายครอบคลุมไปทั่วทั้งดวงตาของหล่อน
หานมู่จื่อรีบปิดตาลงทันที
คอเย็นวาบเหมือนมีอะไรเพิ่มขึ้นมา ในขณะเดียวกันริมฝีปากที่ประกบอยู่บนดวงตาของหล่อนกลับถูตามไปถึงหลังหูของหล่อน
หานมู่จื่อเย็นวาบที่คอจนรู้สึกทรมาน และเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงใช้มือคลำดู จึงคลำเจอสร้อยเส้นหนึ่ง
หล่อนจึงจะก้มหน้าลง และเห็นจี้เพชรอันหนึ่ง
“คุณ..”
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในดวงตาของเย่โม่เซินอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ชอบไหม?” ริมฝีปากอันเรียวบางของเย่โม่เซินค่อยๆเผยอขึ้น ปิดตาลงและลูบหน้าผากของหล่อน จากนั้นรดลมหายใจอุ่นๆลงบนใบหน้าของหานมู่จื่อ
จากนั้นหานมู่จื่อก็ได้ยินเขาพูดบ่นน้อยใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผมตั้งใจเลือกมาให้คุณเลยนะ ผมอดนอนตั้งสองวันเพื่อที่จะรีบมาหาคุณ”
หานมู่จื่อ: “…”
เมื่อฝ่ายชายพูดจบ ก็ซบลงที่ไหล่ของหล่อนจากนั้นหลับตาลง
หานมู่จื่อ: “คุณจะทำอะไรน่ะ?”
หรือเขาคิดจะพิงไหล่หล่อนที่ยืนอยู่และหลับไปแบบนี้? หานมู่จื่อผลักเขาออก แต่กลับถูกเขาโอบเอวไว้แน่น จากนั้นไซร้ซอกคอ พูดกระซิบ : “อย่าขยับ ให้ผมได้พิงสักพักเถอะนะ”
ห้องขนาดเล็กที่อยู่หลังประตูบ้านนี้ บรรยากาศทั้งหมดกลับตกเป็นของเย่โม่เซินที่คละคลุ้งไปด้วยลมหายใจความหื่นกระหายของผู้ชาย หานมู่จื่อถูกเขากอดไว้เช่นนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องตอนที่โทรหาเขาเมื่อคืนวันนั้นขึ้นมาทันที
หล่อนกระพริบตาขึ้นลง ทนไม่ไหวจนเบี่ยงหัวออกมา ดมกลิ่นบนเสื้อของเย่โม่เซิน
สะอาด และเป็นกลิ่นเฉพาะที่เป็นของเขาเพียงคนเดียว
หานมู่จื่อไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก จึงสูดดมดูอีกครั้ง และยังคงเป็นกลิ่นของเย่โม่เซินเพียงคนเดียว
ไม่ใช่สิ ผู้หญิงคนนั้นรับโทรศัพท์แทนเขา ทั้งยังบอกว่าเขากำลังอาบน้ำอยู่ ทั้งสองน่าจะอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ทำไมถึงไม่มีกลิ่นบนตัวของเขาบ้างเลยล่ะ?
หรือว่า…เขาเปลี่ยนเสื้อมาก่อนแล้ว?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ มีเสียงหัวเราะขึ้นมาจากคอของหล่อน : “คุณกำลังดมอะไรอยู่?”
หานมู่จื่อตกใจชะงัก รู้สึกลังเลพลางสบสายตาที่ยิ้มมองมา
เขาโอบเอวของหล่อนไว้แนบแน่น พูดด้วยความพึงพอใจ : “รู้ไหมว่าตอนนี้คุณเหมือนอะไร?”
เหมือนอะไร?