บทที่ 64 เขาไม่ใช่คนที่รักความสะอาดเหรอ
เสิ่นเฉียวคิดว่าตัวเองฟังผิดไป คนที่เย็นชาอย่างเย่โม่เซิน ทำไมถึงพูดคำแบบนี้ออกมาได้?
แต่เขาก็พูดออกมาจริงๆ แถมยังพูดกับหานเส่โยว แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น ในใจของเสิ่นเฉียวรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป แต่ก็รู้สึกดีที่หานเส่โยวได้รับการต้อนรับ
“เซียวซู่ ไปห้องหนังสือ”
เซียวซู่ได้สติแล้วบอกไปว่า:“เชิญพวกคุณตามสบายนะ ผมกับคุณชายเย่ยังมีงานที่ยังสะสางไม่เสร็จ”
“ค่ะ”หานเส่โยวส่งยิ้มหวานไปทางเย่โม่เซินที่มีเซียวซู่พาเดินไป หลังจากพวกเขาไป หานเส่โยวก็มองตามแผ่นหลังของเย่โม่เซิน:“ที่จริงฉันรู้สึกว่าเย่โม่เซินไม่ได้น่ากลัวหรือเย็นชาเหมือนกับที่ได้ยินมาเลยนะ เธอคิดว่าไง?”
เสิ่นเฉียวเองก็ยืนอึ้งมองไปที่แผ่นหลังอันใหญ่นั้น:“น่าจะอย่างนั้นนะ”
“เฉียวเฉียว เธอโชคดีจริงๆเลย!”
“โชคดี?”
“ใช่ ไม่ต้องไปเอาผู้ชายเฮงซวยอย่างหลินเจียงแล้ว เพราะยังไงเธอก็สามารถแต่งงานมาอยู่กับผู้ชายที่ดีเลิศอย่างเย่โม่เซินได้แล้ว เธอยังกล้าพูดว่าตัวเองโชคร้ายอีกเหรอ?”
โชคดีเหรอ?เสิ่นเฉียวเบะมุมปาก รอยยิ้มนั้นค่อนข้างขมขื่น
เธอเองก็ไม่รู้ว่าการมาแต่งงานกับเย่โม่เซินนั้น จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่โชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่
“แต่จะช้าจะเร็วพวกเธอก็ต้องหย่ากันอยู่ดี จะดีขนาดไหนก็คงไม่มีประโยชน์ เห้อ”
ถึงเวลาทานอาหาร ทุกคนนั่งทานข้าวรวมกันที่โต๊ะ สีหน้าของนายท่านไม่รับแขกเอามากๆ แต่พอได้ยินว่าจะมีแขกมาร่วมทานข้าวด้วยก็มีสีหน้าที่อ่อนลง
“สวัสดีค่ะนายท่าน ฉันคือหานเส่โยวจากบริษัทตระกูลหานค่ะ”
“บริษัทตระกูลหาน?”นายท่านเย่หรี่ตาเล็กน้อย:“พี่ชายของเธอคือหานชิง?”
หานเส่โยวค่อนข้างประหลาดใจ:“นายท่านเย่รู้จักพี่ชายของฉันด้วยเหรอคะ?”
สายตาของนายท่านเย่มีความเชยชมออกมา:“ก่อนหน้านี้เคยเจอกันมาก่อน นับว่าเป็นเด็กที่มีอนาคตมากเลยทีเดียว”
“ขอบคุณนายท่านเย่สำหรับคำชมค่ะ”
“โม่เซิน ไปเรียนรู้กับเธอไว้มากๆ”อยู่ๆขณะนั้นนายท่านเย่กลับพูดกับเย่โม่เซินขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
คนบนโต๊ะอาหารต่างหยุดนิ่ง ทุกสายตาจับจ้องไปที่เย่โม่เซิน
เย่โม่เซินยิ้มที่มุมปาก แล้วหัวเราะเยาะออกมา:“ในเมืองเป่ยยังมีบริษัทไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าบ้านตระกูลเย่อีกเหรอครับ?”
คำพูดของเขา ทำเอานายท่านเย่ถึงกับสำลัก!
นายท่านเย่ทำเสียงหึแล้วพูดว่า:“ที่บริษัทตระกูลเย่ยิ่งใหญ่อยู่บริษัทเดียวได้ แกคิดว่ามาจากน้ำพักน้ำแรงของแก?”
หางตาของเย่โม่เซินกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเย็นชาว่า:“ห้าปีก่อนหน้านี้ที่ผมไม่ได้เข้ามาบริหารบริษัทตระกูลเย่ บริษัทตระกูลเย่ก็ถูกขนามว่าเป็นแค่หนึ่งในห้าบริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่หลังจากที่ผมรับช่วงบริหารต่อก็ทำให้บริษัทตระกูลเย่ทิ้งระยะห่างจนยิ่งใหญ่อยู่เพียงบริษัทเดียวได้ คุณปู่กำลังเพ้อฝันอะไรอยู่ครับ การที่บริษัทตระกูลเย่ใหญ่โตอยู่บริษัทเดียวแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะน้ำพักน้ำแรงของผมหรอกเหรอ?”
คำพูดของเขามีเหตุมีผล บวกกับน้ำเสียงที่ต่ำและแหบของเย่โม่เซิน แค่เอ่ยปากพูดก็สามารถทำให้คนเชื่อถือได้ และการยกตัวอย่างก็ทำให้คนแก้ต่างได้ไม่ชัดเจนอยู่ดี เสิ่นเฉียวที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินคำพูดแบบนี้ก็แอบตกใจเหมือนกัน ดูเหมือนว่าความสามารถของเย่โม่เซินนั้นไม่อาจจะมองข้ามไปได้เลยจริงๆ
เพียงแต่……เหตุผลที่นายท่านเย่ไม่ชอบเขานั้น เป็นเพราะอะไรกันแน่?
อยู่ๆเสิ่นเฉียวก็เกิดมีความอยากรู้อยากเห็นในจุดนี้ขึ้นมา ทำไมปู่กับหลานสองคนนี้ถึงได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันเลย?
หานเส่โยวที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดชมขึ้นมาเหมือนกับเป็นแฟนคลับตัวยง:“สุดยอดเลยค่ะ คุณปู่เย่ ที่คุณชายเย่พูดมาก็ถูกนะคะ พี่ชายของฉันหานชิงต้องไปเรียนรู้กับคุณชายเย่สิคะถึงจะถูก”
ถึงแม้ว่าบริษัทตระกูลหานจะถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ถึงกระนั้นข้างบนก็ยังมีบริษัทตระกูลเย่คอยกดดันอยู่
เพราะบริษัทตระกูลเย่หยิ่งทะนงไม่ยอมร่วมมือกับบริษัทอื่นๆเป็นปึกแผ่น และมีท่าทีที่เป็นเอกเทศ จนกลายเป็นผู้นำไปในที่สุด
“เธอถ่อมตัวเกินไป พี่ชายเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ถ้ามีโอกาสก็มาทำความร่วมมือกันได้”
นายท่านเย่พูดคุยกับหานเส่โยวอย่างออกรสออกชาติ เสิ่นเฉียวที่นั่งอยู่ข้างๆได้แต่อิจฉาอยู่ข้างใน เส่โยวเป็นคนที่เก่งมาก เธอเปิดใจคุยกับทุกคน ไม่เหมือนกับเธอ……
แต่ถึงอย่างนั้นช่องว่างระหว่างเรา ก็ยังมีความต่างกันอยู่มาก
ยกตัวอย่างเช่นเธอ นายท่านเย่เจอเธอมาก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งกลับพูดจากับเธอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่มีการแสดงออกใดๆ
แต่กับหานเส่โยว ก็ไม่ได้พูดจาดีอะไรแต่สามารถทำให้นายท่านเย่มีความสุขได้
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวในถ้วยของตัวเองไป
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีปีกไก่มาวางลงในถ้วยของเธอ เสิ่นเฉียวเงยหน้าไปก็เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเย่หลิ่นหาน
“น้องสะใภ้ เวลาทานข้าวต้องทานกับด้วยนะ ทานแต่ข้าวไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดตรงหน้าทำให้คนบนโต๊ะอาหารต่างพากันตกตะลึง ทุกคนแทบคิดไม่ถึงเลยว่าอยู่ๆเย่หลิ่นหานจะตักอาหารให้เธอ?ด้วยเหตุนี้เสิ่นเฉียวก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก แล้วพยักหน้าตอบอย่างงงๆ:“ขอบ ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่”
หานเส่โยวเห็นแบบนั้น ก็มองเสิ่นเฉียวที่ทำตาเลิกลั่กไปมา:“พี่เย่ดีกับเธอจังเลยนะ!”
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากตัวเองอย่างประหม่าไว้แน่น มันก็ดีจริงๆนั่นแหละ แต่ดีแบบนี้มัน……
เย่โม่เซินที่อยู่ด้านซ้ายไม่ห่างจากเธอมากนักก็ทำเสียงแสยะยิ้มออกมา เป็นน้ำเสียงที่ต่ำมาก มีแต่เธอเท่านั้นที่ได้ยิน ด้วยเหตุนี้เสิ่นเฉียวจึงมองไปทางเขา และพบว่าสายตาของเขานั้นมืดมน จนมองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
แย่แน่ๆ เขาต้องเข้าใจผิดอีกแล้วแน่นอน
“ทุกคนรีบทานอาหารกันดีกว่าครับ”เย่หลิ่นหานเห็นว่าทุกคนตกอยู่ในภะวัง จึงเรียกสติทุกคนกลับมา บรรยากาศบนอาหารจึงกลับมาปกติอีกครั้ง
บรรยากาศโดยรอบของโต๊ะอาหารไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเสิ่นเฉียวที่นั่งอยู่ข้างๆเย่โม่เซิน กับข้าวบนโต๊ะอาหารที่กินไป เธอรู้สึกเหมือนร่างกายอยู่ในขั้วโลกใต้ เย่โม่เซินที่นั่งอยู่ข้างๆเธอก็ปล่อยอากาศที่เย็นยะเยือกออกมาอยู่ตลอด เสิ่นเฉียวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยได้รับผลนั้นไปด้วย
“อ่ะนี่ เธอผอมเกินไปแล้วนะ กินเยอะๆหน่อย”อยู่ๆหานเส่โยวก็ตักกับข้าวให้เสิ่นเฉียวลงไปในถ้วย เสิ่นเฉียวได้สติหันไปมองทางหานเส่โยวแล้วยิ้มให้:“ขอบใจนะ”
เสิ่นเฉียวคิดอยู่สักพัก แล้วมองไปทางเย่โม่เซิน แล้วทันใดนั้นเธอก็ตักหมูน้ำแดงใส่ไปในถ้วยของเย่โม่เซิน:“คุณก็ทานเยอะๆนะคะ”
ทุกคนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นก็หยุดการกระทำดังกล่าวในทันที!
แม้แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างๆเอง ก็ตกตะลึง!
ทุกคนล้วนรู้กันหมดว่า!
เย่โม่เซินเป็นคนที่รักความสะอาดมาก!
เขาไม่กินอาหารของคนอื่น!
แต่อยู่ๆเสิ่นเฉียวก็ตักอาหารไปใส่ในถ้วยของเขา นี่เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้เอาตะเกียบที่เปื้อนน้ำลายแล้วไปตักอาหารให้เย่โม่เซิน
นายท่านเย่กลั้นหายใจมองดูฉากตรงหน้า และค่อยๆหรี่ตาขึ้นมา
เสิ่นเฉียวเองก็สังเกตเห็นบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปเหมือนกัน ลูกตากลมสวยนั้นกลอกไปมา เธอทำอะไรผิด?ทำไมแต่ละคนเหมือนมองเธอเป็นศัตรูไปหมด?
เย่หลิ่นหานหัวเราะขึ้นมา ได้เหมาะเจาะที่จะปกป้องเธอ“น้องสะใภ้อาจไม่รู้เรื่องไปบ้าง โม่เซินเขา……”
คำพูดข้างหลังนั้นยังไม่ทันได้พูดออกมา ก็ถูกการกระทำของเย่โม่เซินทำให้ตกใจจนถูกเลือนหายไป
เพราะอยู่ๆเย่โม่เซินก็คีบเนื้อน้ำแดงที่เสิ่นเฉียวตักมาใส่ในถ้วยของเขาขึ้นมาใส่เข้าปากไปอย่างหน้าตาเฉย!!!
ถึงจะเป็นแค่การกระทำเพียงเล็กๆน้อยๆ แต่กลับทำทุกคนบนโต๊ะอาหารประหลาดใจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงนายท่านเย่เองก็ด้วย กลุ่มสาวใช้เองก็ยืนอ้าปากตาค้างไปตามๆกัน
คุณชายเย่อยู่ๆเขาก็……กินเข้าไป?
เสิ่นเฉียวไม่รู้ว่าเย่โม่เซินมีนิสัยแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร เพียงแค่เย่โม่เซินยอมกินอาหารที่ตัวเองตักให้เขาแค่นี้เธอปลื้มปิติแล้ว เธอก้มหน้าก้มตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สายตาของเธอมีความสุข
ต่อมา เย่โม่เซินก็พูดขึ้นว่า:“ตักมาอีกสิ”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ:“คะ?”
เย่โม่เซินใช้หางตามองไปที่ในถ้วยของตัวเอง เสิ่นเฉียวถึงได้สติ จากนั้นก็ตักกับอย่างอื่นมาให้เขา:“อันนี้มั้ยคะ?”
“อื้ม”เย่โม่เซินตอบกลับ และกินต่อ
“……”กลุ่มสาวใช้ต่างอ้าปากค้างจนคางแทบจะหล่นไปกองที่พื้น นี่……ใช่เย่โม่เซินคนก่อนหน้านี้ที่รักความสะอาดนั้นจริงเหรอ?
ทำไมอยู่ๆ เหมือนกับอาการรักสะอาดของเขาก็ถูกรักษาหาย?