บทที่ 631 ระหว่างฉันกับคุณ เชื่อใจกันตั้งแต่เมื่อไหร่
แน่นอนว่าเย่โม่เซินไม่ปล่อยเธอ
ตอนนี้ในใจรู้ดีว่าหากยอมให้เธอผลักตนเองออกไป อย่างนั้นสิ่งที่เขาอยากจะถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นก็จะยิ่งยากแล้ว
ดังนั้นเขาจึงโอบเอวของเธอเอาไว้แน่น ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรกับตนเองก็ไม่สะทกสะท้านทั้งสิ้น ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยเธอ
จนกระทั่งหานมู่จื่อโวยวายจนเหนื่อย แล้วหยุดลง ตอนที่กำลังกัดฟันจ้องเขม็งไปที่เขา เย่โม่เซินจึงทอดถอนใจออกมา
“ผมไปต่างประเทศกะทันหัน เพราะที่ต่างประเทศมีข้อตกลงที่สำคัญมากต้องคุยกัน” หานมู่จื่อมองเขาอยู่ ไม่ได้ตอบรับ มีเพียงแค่สายตาที่ไม่เชื่อเขาอย่างชัดเจนคู่นั้น
เย่โม่เซินทำได้เพียงอธิบายต่อไป: “ประชุมกันค่อนข้างนาน รวมไปถึงเวลาที่ห่างกันของต่างประเทศกับในประเทศคุณก็รู้อยู่แล้ว จากนั้นผมก็ไปเลือกของขวัญมาให้คุณ แล้วคืนนั้นก็รีบกลับมาเลย”
พูดๆอยู่ เขาก็เข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้เธอเห็นเส้นเลือดที่ดวงตาของตนเองอย่างชัดเจน
“แม้กระทั่งชีวิตของผมก็ให้คุณได้ คุณสงสัยว่าผมมีผู้หญิงอื่นเหรอ? มู่จื่อ สมองของคุณ……ทำมาจากอะไรกันแน่?”
เขาทอดถอนใจเบาๆ ก้มลงกอดเอวแน่น
“ห้าปีที่ผ่านมาก็รักษาความบริสุทธิ์ไว้เพื่อคุณ นิสัยที่รักความสะอาดเกินไปในชีวิตนี้นอกจากคุณแล้วก็กลัวว่าใครอื่นก็คงจะรักษาไว้อย่างดีไม่ได้”
หานมู่จื่อโดนเขากอดอยู่ ร่างกายที่อรชรอ้อนแอ้นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ราวกับว่าไม่สนใจคำพูดของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เย่โม่เซินรู้สึกไม่เข้าใจ จึงค่อยๆถอยออกมามองเธอ
“ยังไม่ยอมเชื่อผม?”
หานมู่จื่อกำลังจ้องเขา ยิ้มอย่างเย็นชา
“คำพลอดรักพูดได้น่าฟังจริงๆ ไม่รู้เลยว่าห้าปีนี้คุณชายเย่ไปเรียนมาจากที่ไหน ไม่นึกว่าจะเข้าใจพูดได้น่าฟังมากขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดอยู่ในใจ กับสิ่งที่พูดออกมาเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า”
เย่โม่เซิน: “……”
“เมื่อคืน ไปนอนกับใครมา?”
เย่โม่เซินขมวดคิ้ว: “วันนี้คุณจงใจหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลไปหรือเปล่า?”
เธอจงใจหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผล?
หานมู่จื่อเบิกตาโพลง รู้สึกตัวอย่างทันที ตนเองกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ท่าทางอย่างนี้ก็จงใจหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลจริงๆ
แต่……เธอก็เจตนาจะหาเรื่องแล้วจะทำไม?
ตอนนี้เธอมองคนที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงเมื่อคืนที่เขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่นในห้องเดียวกัน เป็นไปได้ว่าคงทำเรื่องอย่างนั้นไปแล้ว เธอก็สะอิดสะเอียนจนแทบจะทนไม่ไหว
“คุณไปให้พ้น!”
เธอว่าออกมาเสียงดังอย่างทันที: “กลับไปในโลกที่นุ่มนวลที่ต่างประเทศของคุณเถอะ”
ตั้งแต่แรกเย่โม่เซินคิดว่าเธอระแวง จึงลองหยั่งเชิงและเหน็บแนมดู แต่ตอนนี้รู้สึกแปลกใจมากๆ ถ้าเป็นการหยั่งเชิงตามปกติทำไมเธอถึงโมโหขนาดนี้?
หรือว่า??
ฉากเมื่อคืนฉากหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเย่โม่เซินทันที
เป็นฉากที่ตวนมู่เสว่กำลังถือมือถือของเขานั่งอยู่บนโซฟา ตอนนั้นมุมปากของเธอมาพร้อมกับรอยยิ้มที่กระหยิ่มยิ้มย่อง แลดูเหมือนกับรบชนะอย่างนั้น
และตอนที่ตวนมู่เสว่เห็นเขาสายตาก็ปรากฏความลนลานออกมาชั่วครู่ แต่ก็สงบลงได้อย่างรวดเร็วมาก โทรเข้าไปในมือถือของเธอ
หรือว่า……
เย่โม่เซินหรี่ตา ดวงตาแสดงความอันตราย
เป็นผู้หญิงคนนั้นที่ถือโอกาสแอบเข้ามาในห้องตอนที่ตนเองอาบน้ำ แล้วเอามือถือของเขาไปทำเรื่องไม่ดี?
ดังนั้น จึงทำให้หานมู่จื่อโมโหขนาดนี้?
ระหว่างเขากับตวนมู่เสว่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้น ต่อให้หานมู่จื่อไม่รู้ เขาก็ไม่กลัวที่จะให้เธอรู้
ดังนั้นหลังจากที่นึกถึงความเป็นไปได้นี้ เย่โม่เซินจึงรีบถาม: “เมื่อคืนมีคนโทรหาคุณเหรอ?”
หานมู่จื่อ: “……”
คาดไม่ถึงไม่นึกเลยว่าเขาจะพูดถึงจุดนี้แล้ว เธอยิ้มเย็นชา “คุณบอกว่าใครโทรหาฉัน?”
“ผู้หญิง” เย่โม่เซินเอ่ยปากอย่างไม่ลังเล
หานมู่จื่อตกตะลึง “คุณยอมรับแล้ว?”
ดูท่าทางของเธอ เย่โม่เซินพอจะเดาเรื่องทั้งหมดออกแล้ว เขาส่งเสียงหึ่มอย่างเย็นชา “ผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวของหุ้นส่วนที่ทำงานด้วยกัน อีกฝ่ายเป็นคนจัดการเรื่องโรงแรม เธอจึงขโมยคีย์การ์ดแล้วแอบเข้ามาได้”
“หมายความว่าอย่างไร?”
เย่โม่เซินจับข้อมือของเธอ ดวงตาดำขลับกำลังจ้องเธออย่างจริงจัง เสียงทุ้มต่ำ
“ความหมายคือ ถ้าเมื่อคืนมีคนโทรหาคุณ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น”
หานมู่จื่อ: “……”
เงียบไปพักใหญ่ หานมู่จื่อก็ยิ้มเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมฉันถึงต้องเชื่อคุณ? ต่างประเทศอยู่ตั้งไกล และฉันก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น แน่นอนว่าคุณจะพูดอย่างไรก็ได้”
คำพูดนี้เพียงพอที่จะแทงเข้าไปในใจจริงๆ หลังจากพูดจบหานมู่จื่อก็เห็นสีหน้าของเย่โม่เซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาก็ลึกซึ้งตามไปด้วย
“คุณไม่เชื่อใจผมสักนิดเลยเหรอ?”
เชื่อใจ?
“ระหว่างฉันกับคุณ เชื่อใจกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
……
บรรยากาศจมอยู่ในความเงียบที่ผิดปกติ
หานมู่จื่อรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาคิดว่าตนเองไม่มีความเชื่อใจให้เขา เช่นนั้นเธอจึงพูดเรื่องเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมา เพื่อให้เขาคิดอย่างเต็มที่
ปีนั้นเขาไม่เชื่อใจตนเองอย่างไร
“แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่คุณเท่านั้นที่สงสัยในตัวฉัน” หานมู่จื่อกล่าวออกมาอย่างสงบ เสียงในตอนนี้ไม่นึกเลยว่าจะค่อนข้างสุขุม: “ตอนนี้คงจะเป็นทีของฉันบ้างแล้วสินะ? เย่โม่เซิน ไม่ต้องอวดดีกับความคิดของตนเองจนเกินไป ไม่ใช่ว่าทุกๆเรื่องคุณก็จะสามารถจัดการได้ ฉันไม่ใช่เสิ่นเฉียวเมื่อห้าปีก่อนตั้งนานแล้ว ไม่ใช่คนๆนั้นที่ต้องอยู่ในตระกูลเย่ในแต่ละวันด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่คนๆนั้นที่ไปบริษัทแล้วโดนคุณทำให้พนักงานบริษัททั้งหมดหัวเราะเยาะเย้ยแต่ยังต้องกล้ำกลืนความน่าอับอายเพื่อทำงานให้เสร็จ ก็ไม่รู้หรอกว่าต่อให้ในใจของคุณจะไม่มีฉัน แต่กลับยังโง่งมงายว่าเป็นผู้หญิงของคุณมาโดยตลอด”
“เธอตายไปแล้ว ตายไปตั้งนานแล้ว เวลาห้าปีผ่านไปแล้ว จนถึงตอนนี้คุณยังไม่เข้าใจอีกใช่ไหม? ตั้งแต่ได้พบกันโดยบังเอิญจนถึงตอนนี้ คุณแสดงเจตนาว่าอยากจะคืนดีกับฉันมาโดยตลอด แต่คุณเคยคิดบ้างไหม? ปีนั้นฉันได้รับความเจ็บปวดอย่างไร? แล้วปีนั้นคุณปฏิบัติกับฉันอย่างไร? มีสิทธิ์อะไรที่คุณมาบอกว่าหาไม่เจอ ฉันก็ต้องยืนตากฝนอยู่ที่ประตูทางเข้าเพื่อรอคุณจนหมดสติไป? มีสิทธิ์อะไรที่คุณอยากให้ฉันเชื่อ ฉันก็ต้องเชื่อคุณ?”
“ฉันรู้แค่ว่า ตอนที่ฉันโทรหาคุณ มีผู้หญิงคนหนึ่งรับสาย ในนั้นมีความเข้าใจผิดอะไรฉันก็ไม่อยากสืบหาความจริง ประธานเย่ที่หล่อเหลาน่าเกรงขามอย่างคุณ ไปประชุมที่ต่างประเทศ อยู่ในโรงแรมก็โดนคนหยิบคีย์การ์ดไปอย่างง่ายดายขนาดนั้น ฉันไม่กล้าเชื่อจริงๆ”
เธอผลักเขาออก หมุนตัวออกไปให้แผ่นหลังไว้กับเย่โม่เซินเท่านั้น
“หานมู่จื่อในตอนนี้ มีเกียรติ ถ้าคุณไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะให้ความสุขและความไว้วางใจอย่างยิ่งแก่ฉันได้ อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก”
“ตลอดไป”
คำพูดที่ทั้งเมินเฉยทั้งตัดเยื่อใยนี้
รอจนถึงตอนที่หานมู่จื่อเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้ว เย่โม่เซินยังคงไม่มีสติกลับมา
รอจนกระทั่งหลังจากที่เขาได้สติกลับมาแล้ว จึงนึกถึงโทรศัพท์สายหนึ่งเมื่อคืนที่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในทันทีสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ด มือทั้งสองข้างที่ลู่ลงมากำหมัดแน่น
ตวนมู่เสว่!
หลังจากเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้ว หานมู่จื่อพิงอยู่หลังประตูกำลังพักหายใจเบาๆ
ใจที่ตื่นเต้นในตอนนี้ยังคงไม่สามารถสงบลงได้ เธอเพิ่งจะพูดกับเย่โม่เซินอย่างแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนั้น คิดว่าตอนนี้เขาคงมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ถ้าจัดการปัญหาของตนเองไม่ได้ ก็คงไม่มาพบเธออีกแล้วสินะ?
ไม่เจอก็ดี อย่างไรก็ตามเธอรับมือพี่น้องสองคนนี้ก็เหนื่อยเอาเรื่องเลย ก่อนหน้านี้ก็ไปบอกเสี่ยวหมี่โต้วว่ารู้เรื่องของพ่อ ดูแล้วเธอคงต้องหาข้ออ้างดีๆพูดกับเสี่ยวหมี่โต้วให้รู้เรื่องเสียที
หานมู่จื่อหลับตาลง ค่อนข้างเหนื่อยล้า
ชีวิตหนอ……