บทที่ 636 ก่อนคุณ ยังมีอีกคน
หานมู่จื่อตกใจ หูแดงขึ้นมาทันที แล้วคิดจะชักมือกลับมา เย่โม่เซินกลับยิ้มออกมากล่าวว่า: “ถ้าสงสารผมจริงๆ อย่างนั้นก็อยู่ข้างๆผมเถอะ ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น”
ฟังถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ขมวดคิ้วสวยๆขึ้นมา ราวกับสังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง “คุณ……พูดเรื่องพวกนี้แค่เพื่อให้ฉันสงสารคุณอย่างนั้นเหรอ?”
“ผมก็ไม่ได้โกหกคุณนะ สงสารผมสักหน่อยจะเป็นไรไป?” เย่โม่เซินยิ้มน้อยๆ พูดเบาๆ: “นั่งลงไปกินเถอะ อาหารบนเครื่องบินไม่อร่อยนะ”
หานมู่จื่อตกตะลึง ก็ใช่ อาหารบนเครื่องบินไม่อร่อยขนาดนั้น ถ้าตอนนี้เธอไม่กินที่นี่ แล้วขึ้นไปบนเครื่องก็อาจจะยิ่งกินไม่ลง
แต่ว่า หลังจากที่ได้ฟังเย่โม่เซินพูดเรื่องพวกนั้น เธอไม่เจริญอาหารเลยจริงๆ
นึกถึงตรงนี้ เธอจึงส่ายหัว
“ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อยากอาหารเลย แล้วก็ไม่อยากกินด้วย”
เย่โม่เซินเงียบลงชั่วครู่ แล้วลุกขึ้นตามเธอ: “งั้นก็คิดเงิน อีกพักค่อยไปกินอาหารบนเครื่องนะ”
หานมู่จื่อ: “……”
หลังจากที่เย่โม่เซินพาเธอไปที่เคาน์เตอร์คิดเงินแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาจากร้านอาหาร
“น่าเสียดาย สั่งอาหารมาแล้วกินไปได้นิดเดียวเอง” หลังจากที่หานมู่จื่อออกมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา
ฟังแล้ว เย่โม่เซินก็เลิกคิ้ว: “งั้นกลับไปเอาใส่ถุงไหม?”
“……”
คิดเสียว่าเธอไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน
ทั้งสองคนกลับไปรอขึ้นเครื่อง หลังจากนั่งลงไปไม่นาน หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะถาม: “ขาของคุณ……เคยได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”
“ปีนั้น ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร? อาการ……ร้ายแรงเลยใช่ไหม?”
ตอนที่ถามประโยคนี้ หานมู่จื่อไม่กล้ามองเย่โม่เซินตั้งแต่แรกแล้ว กลัวว่าตนเองจะไปแตะต้องจุดที่เจ็บปวดของเขา
ใครจะรู้ว่าเสียงหัวเราะเบาๆจะลอยมาจากด้านหลัง เย่โม่เซินเขยิบเข้ามาใกล้ วางคางเอาไว้บนไหล่ของเธอ “ทำไมไม่กล้ามองผม? อยากถามก็ถามอย่างสบายๆสิ ผมเป็นผู้ชายของคุณนะ คุณยังมีอะไรที่พูดกับผมไม่ได้อีก?”
หานมู่จื่อหูแดงขึ้นมาทันที กัดฟันพูด: “ใครบอกว่าคุณเป็นผู้ชายของฉันแล้ว? ฉันยังไม่ได้ยอมรับคุณเลย”
“รอหลังจากพบผู้หญิงคนนั้นแล้ว คุณไม่อยากยอมรับก็ต้องยอม”
พูดจบ เย่โม่เซินไม่รอให้หานมู่จื่อเอ่ยปากอีกครั้ง อธิบายออกมาทันที: “จริงๆปีนั้นผมไม่ได้พิการตั้งแต่แรกแล้ว”
“คุณว่าอะไรนะ?”
เธอคิดว่าตนเองฟังผิดไป ปีนั้นเขาไม่ได้พิการ?
“คุณบอกว่าไม่ได้พิการตั้งแต่แรก? แล้วทำไมคุณถึงนั่งอยู่บนรถเข็นตลอดเลย?”
“ภายนอกพิการ แต่จริงๆ……สุขภาพผมแข็งแรงมาโดยตลอด เพียงแค่ขาของผมใช้การไม่ได้แล้ว ตาเฒ่าก็จะลดการป้องกันตัวจากผม คุณคิดว่า……ตำแหน่งของประธานเย่ผมไปนั่งได้อย่างไร? แม้ว่าความสามารถของผมจะเหนือกว่าเย่หลิ่นหาน แต่ด้วยความระมัดระวังตัวของเขาแล้ว แรกเริ่มเขายังมีวิธีที่จะให้พวกคณะกรรมการโค่นล้มผมด้วย จนกระทั่งผมควบคุมทุกคนเอาไว้ได้ เขาอยากจะทำอะไรก็ต้องจำยอมแล้ว”
ริมฝีปากหานมู่จื่อกำลังสั่นเบาๆ และรู้สึกว่าใจของตนเองค่อยๆสั่นไหว
ปีนั้นเธอคิดว่าเขาพิการ แล้วยังครุ่นคิดเพื่อเขาอยู่บ่อยๆ เพราะลู่สุนฉางบอกว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถ เธอก็ไปโต้แย้งกับอีกฝ่ายเพื่อเขา ถึงกับสาดกาแฟใส่หน้าเขาด้วย ไม่คิดว่า……
ไม่นึกว่าเขาเพียงแค่แกล้งพิการเท่านั้น?
นึกถึงตรงนี้ หานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะก้มหน้ามองขาทั้งคู่ของเขา
ไม่แปลกเลย ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอค้นหาข่าวเกี่ยวกับเขาที่ต่างประเทศ ตอนที่ได้ยินว่าขาของเขาฟื้นคืนกลับมาแข็งแรงแล้ว หานมู่จื่อยังคงดีใจแทนเขาด้วย
แต่คิดไม่ถึงว่า……เขาแกล้งทำมาโดยตลอด
“แล้วหลังจากนั้นทำไมคุณไม่บอกฉัน?” หานมู่จื่อเหลือบตาไปจ้องมองดวงตาที่ลึกล้ำของเขา: “หลังจากที่พวกเราอยู่ด้วยกัน คุณไม่บอกเรื่องพวกนี้กับฉัน เพราะกังวล……”
“คิดเพ้อเจ้ออะไร?” เหมือนกับรู้ความคิดของเธอ เย่โม่เซินกุมมือของเธอเอาไว้ทันที ออกแรงเยอะหน่อย เพื่อดึงสติของเธอกลับมา
“แน่นอนว่าที่ไม่ได้บอกความจริงคุณ เป็นเพราะผมยังไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่า ก็ไม่อยากดึงคุณเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่เป็นเรื่องของผมกับตระกูลเย่ ไม่เกี่ยวกับคุณ”
หานมู่จื่อ: “……”
“ต่อไปคุณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับเย่หลิ่นหานอีกแล้วนะ ลูกชายของเมียน้อยไม่ใช่คนดีแน่ๆ เขาอาจจะคิดแค่อยากใช้ประโยชน์จากคุณ”
หานมู่จื่อขมวดคิ้วสวยๆ: “ทำไมคุณพูดถึงเขาไม่ดีตลอดเลย? บางทีเขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณพูดก็ได้นะ?”
“จะไม่มีได้อย่างไร?” เย่โม่เซินหัวเราะเยาะเบาๆ “ตอนนั้นแม่ของเขาทำลายความสุขของครอบครัวคนอื่น ตอนนี้เขาก็คิดจะมาทำลายคุณกับผมอีก”
หานมู่จื่อขี้เกียจจะสนใจเขา เบะปากพูดออกมา
“ต่อให้เขาเป็นลูกของเมียน้อย นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือก ก่อนที่เขาจะเลือก เขาก็ไม่ได้รู้ว่าคนๆนี้เป็นเมียน้อยนะ”
ได้ฟังอย่างนี้ เย่โม่เซินก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ จ้องเธอพูดออกมาอย่างไม่ปลื้ม: “ดังนั้นตอนนี้คุณก็เลยพูดแทนเขาใช่ไหม? ก็เหมือนกับที่เมื่อครู่คุณไปขวางอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องเขาใช่ไหม? เขามีดีอะไร? อยู่ต่อหน้าคุณก็แกล้งทำเป็นสุภาพบุรุษ ต่อยไม่ตอบโต้ด่าไม่เถียง ก็ทำให้คุณสงสารเขาขนาดนี้แล้ว?”
หานมู่จื่อ: “หูข้างไหนของคุณที่ได้ยินว่าฉันพูดแทนเขา? ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ใช่ เขาเป็นลูกเมียน้อย แต่นี่มันก่อนที่เขาจะเกิดสามารถเลือกได้เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตระกูลเย่ ท่าทางที่เขามีต่อคุณก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น? ฉันแค่……”
“พอแล้ว” เย่โม่เซินตัดบทคำพูดของเธอ “ต่อไปอย่าพูดชื่อของเขาต่อหน้าผมอีก ถ้าคุณไม่อยากกลายเป็นเหยื่อของเขา แล้วก็อย่าเข้าใกล้เขาอีก ตอนที่เขาเข้าใกล้คุณ คุณก็ต้องหลีกออกไปไกลๆ”
“ได้ยินไหม?”
เย่โม่เซินเห็นเธอไม่พูดไม่จา จึงขมวดคิ้วถามเธออีก
หานมู่จื่อเม้มปาก ดึงมือของตนเองกลับไป
“คุณสนใจเรื่องของตนเองให้ดีเถอะ เรื่องวุ่นวายของคุณเองยังมีอีกกอง ยังมีหน้ามาขอร้องฉันได้อย่างไร?”
“หลังจากเรื่องนี้แล้ว ผมยังมีเรื่องวุ่นวายอะไรอีก” เย่โม่เซินถามกลับ
“คุณคิดว่าเรื่องวุ่นวายของคุณก็แค่อันนี้?” หานมู่จื่อหัวเราะเยาะเขา: “เส่โยวนี่ไม่ใช่เรื่องวุ่นวายของคุณเหรอ?”
เย่โม่เซิน: “……”
“ฉันจำได้ว่า ปีนั้นเธอบอกกับฉันว่าตั้งท้องลูกของคุณนะ”
“……”
“นี่ไม่ใช่หนี้รักของคุณเหรอ?”
“คุณเชื่อ?”
หานมู่จื่อหันไป ห้าปีก่อนเธอเคยเชื่อ เพราะตอนนั้นเมิ่งเส่โยวใส่ต่างหูสีชมพูคู่นั้นที่เขาเป็นคนซื้อให้
แต่หลังจากที่เธอใจเย็นลงแล้วมาคิดๆดู รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก
เพราะเรื่องราวเบื้องหลังที่เส่โยวทำล้วนแต่คิดมาอย่างรอบคอบ รอบคอบเสียจนคุณต้องใช้ใจวิเคราะห์จึงจะพบจุดที่ไม่ถูกต้องในนั้น
แต่ตอนนั้นเธอคงจะเชื่อใจเส่โยวมากเกินไป ระดับความเชื่อใจของเย่โม่เซินจึงไม่เพียงพอ ดังนั้น……
นึกถึงช่วงเวลาที่รักจนเกลียดในตอนนั้น หานมู่จื่อก็หลับตาอย่างค่อนข้างอ่อนล้า เย่โม่เซินที่อยู่ด้านหลังเห็นเธอไม่พูดไม่จาอยู่นาน ก็ลนลานขึ้นมาบ้างแล้ว
“นั่นเธอหลอกคุณ แต่ไหนแต่ไรผมไม่เคยแตะต้องเธอเลย คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวของผมนะ”
หานมู่จื่อ: “ใช่เหรอ?” หานมู่จื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง จึงลืมตาขึ้นมาทันที
“คุณไม่ได้หลอกฉันจริงๆใช่ไหม? คุณแน่ใจว่าฉันเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของคุณ?”
คนข้างหลังเงียบไปแล้ว
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาราวกับค่อนข้างพูดได้อย่างยากลำบาก
“ก่อนหน้าคุณ ยังมีอีกคน……”