บทที่ 638 ปีนี้ผมอายุห้าขวบ
ราวกับว่า……
เหมือนกับไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อนเลย
แม้จะรู้ว่าเขาไม่ชอบตนเอง แม้จะรู้ว่าการจีบเขาเป็นเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง
แต่เรื่องนี้เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ? ก็ปลุกใจตนเองให้ฮึกเหิมไว้ก่อนแล้วนี่ ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหนก็ต้องจีบเขาให้ได้
เหมือนกับเขาที่เป็นผู้ชายเย็นชาอย่างนี้ จะจีบขึ้นมาตนเองก็ต้องเหนื่อยมากอยู่แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเธอหรอก ต่อให้เป็นซูจิ่วแต่ก่อน ที่เป็นเลขาอยู่ข้างกายเขามานานขนาดนั้น ก็ไม่สามารถสั่นไหวหัวใจของเขาได้แม้แต่นิดเดียว……
เลขา
เสี่ยวเหยียนตาเป็นประกาย หันไปมองเสี่ยวหมี่โต้วทันที
“เสี่ยวหมี่โต้ว เธอเชียร์น้าเสี่ยวเหยียนของเธอไหม?”
“ครับ?” เสี่ยวหมี่โต้วมองเธออย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่เธอยังท่าทางท้อแท้อยู่เลย แต่ครู่เดียวจู่ๆก็มีพลังฟื้นคืนมา ดูแล้วท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“น้ารู้สึก……เป็นไปได้ว่าน้ายังมีโอกาส! ต่อไปน้าจะไม่ช่วยแม่เธอทำงานแล้วนะ น้าจะไปสมัครเป็นเลขาประธานของบริษัทตระกูลหาน”
สายตาของเสี่ยวหมี่โต้วเปลี่ยนเป็นขมขื่นขึ้นมาทันที
“น้าเสี่ยวเหยียน ถ้าน้าไม่ช่วยหม่ามี๊ งั้นหม่ามี๊ก็จะยิ่งยุ่งน่ะสิครับ?”
“……เจ้าตัวแสบ ก็คิดถึงแต่หม่ามี๊ของตนเองนะ หม่ามี๊เราไม่มีน้า เธอก็ใช้เงินหาคนอื่นมาทำได้ เหมือนพนักงานอย่างน้าไง จ่ายเงินไปตามใจก็สามารถหาได้แล้ว แต่คุณน้าของเราน่ะไม่เหมือนกัน ถ้าน้าเสี่ยวเหยียนพลาดเขาไป ต่อไปจะไม่มีคุณน้าคนที่สองให้น้าได้จีบแล้วนะ”
พูดไปมากมาย เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกว่าตนเองป่วยแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วเป็นแค่เด็กอายุห้าขวบคนหนึ่ง เธอพูดเรื่องพวกนี้กับเขาทำไม? เขาไม่เข้าใจอยู่ดี!
คิดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนจึงยื่นมือออกมาตบหน้าผากของตนเองอย่างรุนแรง
“ช่างเถอะๆ น้าไม่พูดกับเราแล้ว อย่างไรก็ตามเด็กซนๆอย่างเราก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก น้าจะรอหม่ามี๊เรากลับมา แล้วค่อยเสนอความคิดนี้กับเธออีกที รอให้น้าจับคุณน้าของเราลงมาได้ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นแล้ว น้าค่อยกลับมาช่วยที่บริษัทหม่ามี๊อีกครั้งนะ”
นึกถึงวันข้างหน้า ท่าทางกับสายตาของเสี่ยวเหยียนก็เปลี่ยนเป็นดีอกดีใจขึ้นมาทันที
เสี่ยวหมี่โต้วเห็นน้าเสี่ยวเหยียนอย่างนี้ ก็ส่ายหัวอย่างจำใจ แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม: “น้าเสี่ยวเหยียน ผมไม่อยากจะโจมตีน้านะครับ แต่เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล”
“เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล?” เสี่ยวเหยียนหันไปมองเสี่ยวหมี่โต้วทันที: “คำพูดนี้เราไปฟังมาจากไหน? เรียนมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ครับ” เสี่ยวหมี่โต้วกล่าวอย่างสบายๆ: “คุณครูสอนครับ”
“คุณครูสอน?” เสี่ยวเหยียนหรี่ตาลงอย่างสงสัยกัดริมฝีปากล่างของตนเองเอาไว้ “แปลก เราเรียนชั้นอนุบาลไม่ใช่เหรอ? คุณครูจะสอนเรื่องพวกนี้ทำไม?”
“ครั้งที่แล้วตอนที่คุณครูสอนอยู่ ก็บอกว่าตอนนี้พวกผมอายุยังน้อยมากๆ ต่อไปเนื้อหาที่ต้องเรียนยังมีอีกมากมาย ดังนั้นจึงสอนกลอนประโยคนี้ให้พวกผมครับ”
ถึงอย่างไรเสี่ยวเหยียนคิดๆแล้ว ก็รู้สึกเหมือนว่าพอจะเข้าใจได้ จึงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
เห็นเธอไม่ได้ยุ่งอะไรกับหัวข้อนี้อีก
ในที่สุดเสี่ยวหมี่โต้วก็เป่าปากอย่างผ่อนคลายลง โชคดีที่เขาฉลาด จึงรอดไปได้
ตอนที่ถึงทางเข้าบ้าน เสี่ยวเหยียนพลางกดรหัสแล้วก็ถามขึ้น: “เราว่า น้าออกจากที่นี่คงจะไม่มีปัญหา แต่เข้าทำงานที่ฝั่งนั้นเนี่ยสิ ถึงเวลาถ้าคุณน้าของเราไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไร?”
จะทำอะไรได้?
นี่ก็เป็นเรื่องที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว คุณน้าเหมือนกับไม่สนใจผู้หญิงเลย น้าเสี่ยวเหยียนก็แสดงออกชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ถ้าไปบริษัทเพื่อสมัครเป็นเลขาประธานอีก คุณน้าก็คงจะหลบหนีไม่ขอพบเจอเธอเท่านั้นเอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรับเธอเข้าทำงานเลย
นึกถึงตรงนี้ เสี่ยวหมี่โต้วก็เหลือบตาขึ้นทันที สายตาสงสารมองไปที่หลังหัวของเสี่ยวเหยียน
น้าเสี่ยวเหยียนน่าสงสารจัง
เปรียบเทียบกับหม่ามี๊ หม่ามี๊โดนคนจีบ แต่น่าเสี่ยวเหยียนไม่เพียงแต่ไม่มีคนจีบ แต่กลับไปจีบผู้ชายเสียเอง แล้วยังไปจีบคนที่จีบยากเป็นพิเศษอีกด้วย
“เฮ้อ!”
คิดถึงตรงนี้ เสี่ยวหมี่โต้วทนไม่ไหวจริงๆ ทอดถอนใจออกมาอย่างหนัก
เสี่ยวเหยียนผลักประตู แล้วได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“อายุแค่นี้ เราถอนใจอะไร? รีบเข้ามาเถอะ คืนนี้พวกเราต้มก๋วยเตี๋ยวกินดีไหม?”
“ดีครับน้าเสี่ยวเหยียน”
ปัง!
หลังจากปิดประตู เสี่ยวหมี่โต้วก็เปลี่ยนรองเท้าที่ทางเข้า จากนั้นใส่สลิปเปอร์แล้วสะพายกระเป๋าเล็กๆของตนเองขึ้นข้างบน
หลังจากขึ้นมาแล้วก็เปิดประตูห้องของตนเอง หลังจากวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เขาก็กลับตัวไปเข้าห้องของหานมู่จื่อ หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของหานมู่จื่อเข้าไปในห้องของตนเอง
หลังจากปิดประตู เสี่ยวหมี่โต้วจึงเปิดโน้ตบุ๊ก
เขาติดตั้งตำแหน่งบนมือถือของหม่ามี๊ด้วยตนเอง จึงสามารถค้นหาตำแหน่งของหานมู่จื่อเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่นึกว่าจะเห็นหม่ามี๊ของตนเองอยู่ที่สนามบิน เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบดวงตาที่ราวกับไข่มุกสีดำ คิดๆแล้วก็เริ่มหาตำแหน่งของอีกคนหนึ่งด้วย
ผลสุดท้าย ไม่นึกว่าทั้งสองคนต่างก็อยู่ที่สนามบิน
เอ๊ะ
เสี่ยวหมี่โต้วยื่นมือมาปิดปากทันทีหัวเราะเบาๆ เขาใกล้จะได้เจอแด๊ดดี้แล้วใช่ไหม? นึกถึงเรื่องแต่ก่อนที่แด๊ดดี้ทำกับหม่ามี๊เอาไว้ เสี่ยวหมี่โต้วก็ส่งเสียงคำรามออกมา
แด๊ดดี้ตัวร้าย เขายังมีบัญชีมากมายที่เขาต้องจัดการ
หวังว่าหม่ามี๊จะรีบคืนดีกับแด๊ดดี้ จากนั้นเขาก็จะสามารถอาศัยตัวตนนี้ไปขู่เข็ญรวมถึงรีดไถเงินเย่โม่เซินอย่างรุนแรงได้แล้ว
ให้เขารู้ถึง ความเก่งกาจของลูกชายตนเอง!
แล้วก็ให้เขารู้ว่า รังแกหม่ามี๊จะไม่มีจุดจบที่ดี!
นิ้วมือของเสี่ยวหมี่โต้วโลดแล่นอยู่บนคีย์บอร์ดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปในกลุ่มแชทของตนเอง
แค่เขาปรากฏตัว ในกลุ่มก็แตกกระเจิง
ไอ้อ้วน: {แม่เอ้ย! เหมือนฉันจะเห็นผีแล้ว!}
เทพลม: {แสดงท่าทางชูกรงเล็บ เหมือนว่าฉันก็เห็นแล้ว โอ้ไม่ๆๆ น่ากลัวกว่าผีอีก}
เสี่ยวหมี่โต้วเห็นบันทึกการสนทนาแถวนี้ ค่อนข้างหมดคำพูด กำลังพิมพ์ตอบ
เต้าเจี้ยว: {ผมกลายเป็นผีตั้งแต่เมื่อไหร่?}
เผือก: {นายไม่ปรากฏตัวมานานขนาดนี้ แล้วทุกครั้งที่ปรากฏตัวยังเหมือนกับเป็นวิญญาณ นายไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นใคร?}
เต้าเจี้ยว: {……}
มันฝรั่งทอด: {โต้วจื่อ ในที่สุดนายก็มาแล้ว พวกเราคิดถึงนายจะแย่แล้ว นายเป็นอะไรไป? ปรากฏตัวแล้วก็หายไปอย่างลึกลับ พวกเรากี่คนติดต่อนายไม่ได้เลย ไม่งั้นนายทิ้งวิธีติดต่อไว้ให้พวกเราเถอะ}
ให้วิธีติดต่อเขาแก่พวกเขา? เสี่ยวหมี่โต้วนึกถึงอายุของตนเอง เม้มริมฝีปากบางๆเล็กๆ แล้วจึงพิมพ์ต่อไป
เต้าเจี้ยว: {ไม่ได้! หม่ามี๊ผมไม่เห็นด้วย!}
ไอ้อ้วน: {? ? ?}
เผือก: {? ? ? ?}
เทพลม: {? ? ? ? ?}
มันฝรั่งทอด: {? ? ? ? ? ?}
เพียงครู่เดียวแถวด้านล่างก็มีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้าจอไปหมด ทำให้เสี่ยวหมี่โต้วไม่ตอบสนองกลับมาพักใหญ่เลย
เทพลม: {แม่เอ้ย ฉันไม่ได้มองผิดใช่ไหม? เมื่อครู่พี่ใหญ่พูดอะไร? หม่ามี๊เขาไม่เห็นด้วย??}
มันฝรั่งทอด: {อุ๊ป ฉันอยากขำจะตายแล้ว นี่พี่ใหญ่ที่ไร้ร่องรอยของพวกเราเป็นลูกแหง่เหรอ? ทำตามคำสั่งของแม่ ไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างนั้น?}
เผือก: {มีลางสังหรณ์หนึ่งที่ไม่ชัดเจนมาก พี่ใหญ่……นายอายุยังน้อยมากๆใช่ไหม?}
ไอ้อ้วน: {อะไรนะ? พูดอย่างนี้ก็รู้สึกว่าจะใช่ พี่ใหญ่ นายไม่ได้เพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม?}
เพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่? เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบๆตา พิมพ์ข้อความ
เต้าเจี้ยว: {ไม่ใช่}
ไอ้อ้วน: {ตกใจหมด ฉันก็บอกแล้ว พี่ใหญ่จะเป็นเด็กน้อยได้อย่างไร มันฝรั่งทอดอย่าชักนำเหลวไหลสิ น่าเบื่อที่สุดก็คือการชักนำอย่างนี้ของนายน่ะ}
และคำพูดของไอ้อ้วนเพิ่งจะจบลง เต้าเจี้ยวก็พิมพ์ออกมาอีกบรรทัดหนึ่ง
{ปีนี้ผมห้าขวบ}