บทที่644 เกี่ยวกับคืนฝนพรำ
ตอนที่พูดคำว่าเกลียด หานมู่จื่อจงใจพูดเสียงหนักแน่นเป็นพิเศษ เหมือนอยากจะให้เย่โม่เซินรู้ถึงการตัดสินใจของเธอ
ริมฝีปากบางของเย่โม่เซินขยับขึ้นเล็กน้อย ในแววตาและดวงใจของเขาเต็มไปด้วยท่าทางอ่อนหวานของเธอ เขายื่นแขนยาวๆออกไปดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมอกเต็มแรง น้ำเสียงผ่อนคลาย
“เธอไม่มีโอกาสนั้นหรอก ฉันจะทำให้……เธอรักฉันยิ่งๆขึ้นไปอีก”
หานมู่จื่อ “……”
หน้าแดงระเรื่อ หานมู่จื่อค้านออกมา “ใครรักคุณกัน คุณคิดว่าที่ฉันตกลงคืนดีกับคุณ เป็นเพราะฉันชอบคุณเหรอ”
“อืม ?” เหมือนว่าเย่โม่เซินจะสังเกตอะไรขึ้นมาได้ เขาเลิกคิ้ว “ไม่ใช่เพราะชอบฉัน แล้วเพราะอะไรล่ะ”
หานมู่จื่อทำเสียงเย็นเล็กๆในลำคอ “ก็เป็นเพราะคุณหน้าหนา ตามตื๊อฉันไม่เลิกไง”
“งั้นเหรอ ?”
หานมู่จื่อเบิกตาโต ขมวดคิ้วแล้วจ้องมองเขา “หรือว่าคุณจะปฏิเสธ”
“ฉันปฏิเสธตอนไหน ไม่ว่าเธอจะตกลงคืนดีกับฉันด้วยเหตุผลอะไร เอาเป็นว่า……เธออยู่ข้างๆฉันก็พอแล้ว”
สายตาของเขาราวกับร่องลึก ที่ตรึงเธออยู่กับที่ หานมู่จื่อชะงักไปครู่หนึ่ง ขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะตอบสนองยังไง ก็สัมผัสได้ว่าไอร้อนจากลมหายใจของเขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้น
จากนั้นใบหน้านั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้า หานมู่จื่อถึงได้สะดุ้งจนได้สติกลับมา
เหมือนว่าเขาจะจูบตัวเองอีกครั้ง
“ไม่เอา !”
ตอนที่ริมฝีปากบางของเขากำลังจะประทับลงบนปากเธอ หานมู่จื่อก็รีบเบี่ยงหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ทำให้ริมฝีปากบางของเย่โม่เซินประทับลงบนแก้มขาวนวลของเธอ
เขาเองก็ไม่ได้เคืองอะไร ริมฝีปากบางจูบลงบนแก้มเธอแผ่วเบา จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปประคองหัวเธอเอาไว้ แล้วขยับเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเธอ
“ไม่เอาแล้ว !” หานมู่จื่อยื่นมือไปดันอกเขาเอาไว้ แล้ววอนขอเขา “ฉันเหนื่อยมากแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น การกระทำของเย่โม่เซินก็หยุดชะงักไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา “พักมาทั้งวันแล้วยังเหนื่อยอีกเหรอ”
“……มันเป็นอะไรที่พักแค่วันเดียวแล้วจะหายเหนื่อยหรือไงเล่า”
“แต่ว่าฉันอยากทำอีกแล้ว ทำไงดีล่ะ”
มือของเย่โม่เซินเลื่อนลงไปตามเอวของเธอ หานมู่จื่อสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกดมือใหญ่ที่แสนซุกซนของเขาให้อยู่กับที่ ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “คุณหยุดเหลวไหลได้แล้ว คุณไม่อยากจะพาฉันไปเจอผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ถึงได้ใช้วิธีการแบบนี้เพื่อยืดเวลา”
“……”
พอพูดแบบนี้ สีหน้าของเย่โม่เซินก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ไม่เชื่อฉันเหรอ ?”
“งั้นคุณก็ทำให้ฉันเห็นสิ ฉันออกจากประเทศมากับคุณตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงตอนนี้……”
เย่โม่เซินมองเธออย่างหดหู่ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ “ช่างเถอะ คืนนี้เธอก็พักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที
แบบนี้น่าจะได้แล้วมั้ง
หานมู่จื่อรู้สึกโล่งอกไปที จากนั้นก็นอนลงบนเตียง คิดอะไรขึ้นมาได้ เธอก็เลยรีบคว้าโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะส่งข้อความไปให้เสี่ยวเหยียน
ใครจะรู้ว่าเสี่ยวเหยียนจะส่งข้อความมาก่อนแล้ว
“ทางเสี่ยวหมี่โต้วฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลาของคืนฤดูใบไม้ผลิมีค่าหนึ่งพันเหรียญ เธอต้องรักษามันไว้ให้ดีๆนะ”
“……”
เสี่ยวเหยียนตัวดี ไม่มีช่วงเวลาไหนปกติเลยจริงๆ
เธอเก็บโน๊ตบุ๊ค คิดถึงสิ่งที่ตัวเองพูดกับเย่โม่เซินเมื่อกี้ ริมฝีปากก็เผลอเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เธอบอกว่าจะไม่ทำให้เย่โม่เซินผิดหวัง เธอก็จะไม่มีทางทำให้เขาผิดหวังแน่นอน
เสี่ยวหมี่โต้ว……น่าจะเป็นลูกของเขา
หน้าเหมือนกันเสียขนาดนั้น ต้องไม่ใช่เรื่องโกหกแน่
เมื่อก่อนหานมู่จื่อไม่กล้าเชื่อ ตอนที่ใจเกิดสงสัยก็คิดว่าความคิดนี้มันไร้สาระจริงๆ แต่ไร้สาระแล้วยังไง ?
ตัดหลายๆอย่างออกไป ก็เหลือแค่อย่างเดียว ถึงแม้ว่ามันจะเหลือเชื่อขนาดไหน แต่นั่นก็เป็นความจริง
หานมู่จื่อคิดไปคิดมา ก็ปิดตาลง
อีกเดี๋ยวเธอต้องหาจังหวะแอบถามเย่โม่เซิน
ตกกลางคืน ไฟของโรงแรมถูกปิดลงแล้ว เย่โม่เซินนอนอยู่ข้างหานมู่จื่อ ทั้งสองคนหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสมดุล แต่พวกเขาก็รู้ดี ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ
หานมู่จื่อกะพริบตาอยู่ในความมืด กำลังคิดจะพลิกตัว แต่พอเธอพึ่งพลิกตัว เย่โม่เซินก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วกอดเอวเธอเอาไว้
เธอดิ้นอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขา “หยุดดิ้นได้แล้ว รีบนอนเถอะ”
“นอนก็นอนสิ คุณจะมากอดฉันทำไม”
ตอนนี้อากาศก็ไม่ร้อนเสียหน่อย แต่ทั้งสองคนกอดกันแล้วรู้สึกเหมือนเตาอบ บวกกับที่อุณหภูมิของร่างกายเย่โม่เซินสูงกว่าเธอ กอดกันแบบนี้เลยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หานมู่จื่อดิ้นรนอีกครั้ง แล้วก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของเย่โม่เซินสูงขึ้นกว่าเดิม เธอกำลังอยากจะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จู่ๆนึกอะไรขึ้นมาได้ หูก็แดงขึ้นมา
“ทำไมสมาธิของคุณแย่จัง”
เย่โม่เซินที่อยู่ด้านหลังหายใจแรงขึ้นหลายระดับ น้ำเสียงแหบพร่า
“ฉันก็เป็นผู้ชายปกตินะ ผู้หญิงที่รักอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ เธอจะให้ฉันมีสมาธิได้ยังไง”
เขาขยับเข้ามากระซิบข้างหูเธอ “ฉันไม่จับเธอกินจนหมดตัวก็ดีขนาดไหนแล้ว”
พูดจบเขาก็จงใจกัดใบหูเธอคำหนึ่ง ทำเอาหานมู่จื่อตกใจจนเผลออุทานออกมาก จากนั้นเขาก็ใช้ทั้งมือทั้งเท้ารวบเธอเอาไว้
“เอาล่ะ นอน ถ้ายังดิ้นอีกฉันจะกินเธอ”
หานมู่จื่อ “……”
ถึงจะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่ก็ยังปิดตาอย่างว่าง่าย
ภายในความมืด ร่างกายของทั้งสองแนบชิด ชั่วขณะนี้หัวใจก็เชื่อมถึงกัน
เย่โม่เซินโอบกอดคนในอ้อมอก รู้สึกอึดอัดราวกับทั่วทั้งร่างถูกไฟสุม เย่โม่เซินรู้ดีว่าถ้าอยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่ถูกไฟสุมแบบนี้ อย่างแรกก็คือต้องปล่อยตัวเธอ
แต่เขาไม่อยากจะปล่อยคนในอ้อมกอดเลยแม้แต่น้อย อยากจะกอดเธอเอาแบบนี้ตลอดไป
ดังนั้นความรู้สึกไฟสุมทรวงแบบนี้สำหรับเย่โม่เซินแล้ว ทั้งหอมหวานและขมขื่น
ความหอมหวานคือการที่ได้กอดเธอนอน ความขมขื่นคือทั้งๆที่โอบกอดแต่กลับไม่สามารถครอบครอง
เฮ้อ……
ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆ ซุกหน้ากับซอกคอของเธอ สูดกลิ่นกายอันหอมหวานของเธออย่างตะกละตะกลาม
“เย่โม่เซิน”
ในความมืด หานมู่จื่อขานชื่อเขาคำหนึ่ง
“อืม ?”
เสียงแหบพร่าหลุดออกมาจากซอกคอของเธอ
หานมู่จื่อมองแสงจันทร์อ่อนๆที่ส่องเข้ามาทางริมหน้าต่าง คิดถึงสิ่งที่ใจตัวเองอย่างจะถาม แล้วเม้มปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ฉันมีคำถามหนึ่งอยากจะถามคุณ คุณจะตอบฉันได้ไหม”
คนข้างหลังสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้ยินเสียงแหบพร่าของเขา
“คำถามอะไร ?”
“คุณบอกว่าชั่วชีวิตนี้ฉันจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของคุณ แต่วันนั้นคุณกลับบอกว่าก่อนหน้าฉันมีอยู่คนหนึ่ง……”
ยังไม่ทันได้พูดจบก็รู้สึกว่าคนข้างหลังตัวแข็งทื่อ เหมือนกำลังประหม่า จากนั้นลมหายใจก็ชะงักไปด้วย
หานมู่จื่อชะงักไปครู่หนึ่ง นี่เขากำลังประหม่าอยู่เหรอ ?
รู้สึกน่าขันเล็กน้อย หานมู่จื่อทำได้แค่กลั้นความรู้สึกที่อยากหัวเราะออกมา ในแววตาเต็มไปด้วยความดีใจ
“คุณประหม่าอะไร”
คนข้างหลังเงียบไปพักใหญ่
“อยากรู้เรื่องอะไร”
“ฉันอยากรู้ว่า……คนก่อนหน้าฉัน คือเมื่อห้าปีก่อนหรือเปล่า”
เย่โม่เซินขำเบาๆแล้วพูดว่า “ล้อเล่นหรือไง ถ้าก่อนหน้าเธอไม่ใช่ห้าปีก่อน จะเป็นห้าปีหลังเหรอ”
นั่นสิ ทำไมเธอถึงลืมเรื่องนี้ไปได้
เธอเม้มปากอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะถามต่อว่า “ห้าปีก่อนตอนไหนเหรอ คุณยังจำได้ไหม ว่าวันอะไร เวลาไหน และสถานที่ใด คุณจำได้ไหมว่าเธอหน้าตายังไง แล้วกระบวนการล่ะ……”
ถามรัวออกมาเป็นชุด คนข้างหลังนิ่งเงียบเหมือนคนตาย