บทที่645 ห้ามหลอกฉัน
เงียบงันอยู่เนิ่นนาน ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากเย่โม่เซิน
หานมู่จื่อคิดในใจ หรือว่าเธอถามเยอะเกินไป เขาก็เลยไม่ยอมตอบ
เมื่อคิดได้แบบนี้ หานมู่จื่อก็เริ่มเปิดปาก “ถ้าหากคุณรู้สึกว่าฉันถามเยอะเกินไปไม่รู้จะตอบข้อไหนก่อนดี งั้นคุณก็ตอบทีละข้อดีไหม ฉันถามข้อหนึ่งคุณก็ตอบข้อหนึ่ง แบบนี้เป็นไง ?”
เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากบาง แววตาแฝงด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
“เธออยากรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนอื่น”
เขาพูดจบก็หัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง “ถ้าฉันตอบหมดแล้ว ฉันจะยังอยู่บนเตียงนี้ต่อได้อีกไหม”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” หานมู่จื่อตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทางที่ไม่ใส่ใจแบบนี้ทำให้เย่โม่เซินถึงกับมึนงง
รู้สึกว่า……มีตรงไหนไม่ถูกต้อง
แต่กลับบอกไม่ถูกว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง
“ได้ยินหรือเปล่า ฉันถามข้อหนึ่งคุณตอบข้อหนึ่ง ห้ามโกหก ห้ามหลอกฉัน ห้ามเงียบด้วย”
เย่โม่เซิน “……”
เขาเลือกความตายได้ไหม ?
“เย่โม่เซิน ?”
เธอเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เย่โม่เซินขยับมุมปาก แล้วเค้นเสียงจากลำคอตอบกลับคำหนึ่งอย่างยากลำบาก
“ได้”
ได้ยินเขาตอบรับแล้ว หานมู่จื่อก็ตื่นเต้นเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้ความจริงอีกก้าวแล้ว
“ดี งั้นคุณตอบคำถามข้อแรกก่อน ตอนนั้นคุณไปที่ไหน ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น”
“งานเลี้ยงส่วนตัว สงครามการค้า” ที่จริงตอนแรกมีคนวางยาเขา แต่เย่โม่เซินรู้ดี คงแค่อยากจะทดสอบว่าเขาพิการจริงหรือเปล่า และคนที่สนใจว่าเขาพิการจริงหรือไม่ ในโลกนี้คงหาคนอื่นไม่ได้แล้ว
ตอบได้ค่อนข้างกระชับเลยนะ หานมู่จื่อแอบคิดในใจ จากนั้นก็ถามต่อ “แล้ว……เรื่องเกิดขึ้นได้ยังไง ตอนนั้นคุณอยู่ตรงไหน”
เย่โม่เซินเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆก็ยื่นมือไปกอดเธอไว้ แล้วตอบเธอว่า
“เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันมาก ผู้หญิงคนนั้นจู่ๆก็พุ่งเข้ามา ตอนนั้นฉันถูกวางยา สติก็เลยค่อนข้างเลือนราง”
หานมู่จื่อพยักหน้า “แล้วคุณยังจำได้ไหมว่าวันนั้นคือตอนไหน”
เรื่องวันเกิดที่เหตุสำคัญมากจริงๆ
จู่ๆคนข้างหลังก็ไม่ยอมตอบ แล้วกอดเธอเอาไว้แน่น
“อย่าถามอีกเลยได้ไหม”
หานมู่จื่อ “ทำไมล่ะ”
ถ้าเธอไม่ถาม แล้วจะยืนยันได้ยังไง ถึงแม้คำตอบที่อยู่ในใจจะเกือบเต็มร้อยแล้ว แต่เธอก็ยังอยากจะฟังจากปากเขาว่าคำตอบที่อยู่ในใจของเธอนั้นถูกต้อง
เหมือนจู่ๆที่คนหนึ่งพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา จากนั้นก็บอกคนอื่นว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร
เพราะว่าพูดผิดไป ก็เลยรู้สึกติดใจเป็นพิเศษ ต้องคอยถามเพื่อยืนยันหลายๆรอบ ถึงจะรู้สึกวางใจ
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรผิด แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจของเธอก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก
“ทำไมงั้นเหรอ ถามคำถามพวกนี้ เธอไม่รู้สึกแย่หรือไง”
“ไม่รู้สึกแย่นี่” หานมู่จื่อส่ายหน้า เธออยากรู้สิ่งที่ตัวเองอยากรู้ อยากให้เขารีบตอบคำถามทุกข้อให้หมดเสียเดี๋ยวนี้เลย
ไม่รู้สึกแย่……
ถึงแม้จะพูดว่าขอแค่เธออยู่ข้างๆเขาก็พอ ไม่ว่าเธอจะทำด้วยเหตุผลอะไร ไม่ชอบเขาก็ได้ แค่ขอให้เธอยอมคืนดีก็พอ
แต่พอได้เห็นว่าเธอไม่ได้สนใจว่าตัวเขาเองจะเป็นยังไงแบบนี้ ในใจของเย่โม่เซินก็รู้สึกแย่ขึ้นมาจริงๆ
ความร้อนรุ่มในตัวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หายไปอย่างหมดจด เย่โม่เซินหัวเราะเยาะตัวเอง “เธอไม่รู้สึกแย่ แต่ฉันรู้สึกแย่”
หานมู่จื่อ “……”
“ถึงแม้จะไม่ได้สนใจจริงๆ ก็อย่าแสดงออกเสียชัดเจนขนาดนั้นสิ” ยิ่งเย่โม่เซินพูด แรงบนมือก็ยิ่งมากขึ้น “เสแสร้งหน่อยไม่ได้หรือไง แสร้งทำเป็นอยู่กับฉันเพราะเธอชอบฉัน เธอ……”
คำพูดประโยคหลังยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆหานมู่จื่อก็หันหลังไป เผชิญหน้ากับเขาตรงๆ
ไอร้อนจากลมหายใจของทั้งสองคนผสมรวมกัน เย่โม่เซินมองดูผู้หญิงที่จู่ๆก็หันมากะทันหัน แสงจันทร์อ่อนๆช่วงให้มองเห็นโครงหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน และยังมีริมฝีปากชุ่มชื่นที่ส่องประกายเย้ายวนท่ามกลางแสงจันทร์
สายตาของเขาเคร่งขรึม ค่อยๆขยับเบียดเข้าไป
“จะทำอะไร” หานมู่จื่อยกมือขึ้นปิดปากเขา หยุดการกระทำของเขาไว้ และพูดขึ้นว่า “คุณกำลังคิดอะไรอยู่ ที่ฉันถามคำถามพวกนี้กับคุณ เป็นเพราะฉันอยากจะยืนยันเรื่องบางอย่าง ไม่ใช่เพราะว่าฉันไม่สนใจคุณเสียหน่อย”
ริมฝีปากที่อยู่ในฝ่ามือเริ่มขยับ เหมือนว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
หานมู่จื่อเองก็ไม่ได้คิดจะดึงมือกลับมา แต่พูดต่อด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าฉันไม่สนใจคุณจริงๆ ฉันก็คงไม่ถามคำถามพวกนี้ และคงไม่ยอมให้คุณพาตัวฉันออกนอกประเทศมาแบบนี้ เพราะยังไง……ฉันก็สามารถแจ้งตำรวจจับคุณได้ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ……”
ลมหายใจของคนบางคนรุนแรงกว่าเดิมหลายระดับ
หานมู่จื่อรู้สึกได้อย่างชัดเจน คิ้วงามขมวดขึ้น
อะไรกันคนๆนี้
เธอกำลังอธิบายอยู่แท้ๆ เขาจะรีบร้อนไปทำไมกัน
“คุณมีอะไรจะพูดเหรอ”
หานมู่จื่อถามเขาคำหนึ่งด้วยความสงสัย จากนั้นก็เก็บมือกลับมา
เพิ่งจะเก็บมือกลับ เย่โม่เซินก็ประทับจูบเข้ามาอย่างรีบร้อน
“อื้ม”
เสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากถูกปิดไว้ หานมู่จื่อก็ครางออกมาคำหนึ่ง ยื่นมือออกไปหมายจะผลักออก แต่มือทั้งสองข้างก็ถูกเย่โม่เซินจับไว้เสียก่อน แล้วจูบเธออย่างดูดดื่ม
แต่จูบก็ส่วนจูบ มือของเขาก็ไม่ได้ทำเกินเลยอะไร ยิ่งจูบก็ยิ่งถลำลึก ตอนที่หานมู่จื่อเริ่มรู้สึกว่ากำลังจะหายใจไม่ออก ในที่สุดเย่โม่เซินก็ยอมล่าถอย
เขาหายใจเบาๆตรงหน้าผากเธอ
“เธอเป็นคนพูดเองกับปากนะ ฉันจะจำไปจนวันตาย เธอห้ามกลับคำเด็ดขาดนะ”
หานมู่จื่อ “……เมื่อกี้ฉัน……พูดอะไรไปเหรอ ?”
เย่โม่เซินหัวเราะเสียงต่ำ เสียงหัวเราะราวกับเสียงเชลโล่ ทั้งดึงดูดและมีมนต์ขลัง แฝงด้วยความเซ็กซี่ที่แสนเย้ายวน
“เธอบอกว่าเธอสนใจฉัน”
“ฉันสนใจ……” คำพูดของหานมู่จื่อหยุดชะงัก เหมือนว่าเมื่อกี้เธอจะพูดไปแล้วจริงๆ……
แต่เพราะเมื่อกี้ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะไม่ปกติ เธอก็เลยอยากจะรีบอธิบายให้เขาฟัง ภายในความมืดยามค่ำคืนใบหน้าของหานมู่จื่อแดงระเรื่อ
“พูดต่อสิ…..ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ”
“คุณหลอกลวง คุณตั้งใจใช่ไหม ?” หานมู่จื่อจ้องเขาเขม็ง “ไม่ตอบคำถามของฉันดีๆ ยังจะวางแผนล่อลวง ฉันไม่อยากสนใจคุณแล้ว”
พอพูดจบเธอก็หันหลังให้เขาก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณไม่ตอบคำถามที่ฉันถามเมื่อกี้มาดีๆ งั้นคุณก็ไม่ต้องมาคุยกับฉันแล้ว”
ท่าทางแบบนี้ ช่างเหมือนกับภรรยาน้อยที่กำลังงอนอยู่จริงๆ
เมื่อก่อนเย่โม่เซินเคยรู้สึกว่าผู้หญิงแบบนี้เสแสร้ง แต่พอกลายเป็นหานมู่จื่อ เขากลับรู้สึกชอบอกชอบใจเป็นที่สุด
“ฉันจะบอกวันที่กับเธอ แต่นี่จะเป็นการตอบคำถามครั้งสุดท้ายของฉัน ถ้าฉันตอบแล้ว……รายละเอียดอื่นๆ เธอห้ามถามอีกนะ”
ถ้ามีวันที่แล้ว……ก็คงจะยืนยันได้แล้วล่ะมั้ง
หานมู่จื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
“ได้ งั้นคุณพูดสิ”
เย่โม่เซินขยับเข้าไปกระซิบตรงข้างหูเธอ หานมู่จื่อได้ยินวันที่อย่างชัดเจน จากนั้นก็ย้อนคิดดูอีกครั้ง จู่ๆภายในหัวก็เหมือนมีสายฟ้าแล่นผ่าน
ถ้าเธอไม่ได้จำผิด วันที่ที่เย่โม่เซินบอกมา มันตรงกับคืนวันและเวลาที่เธอหย่าพอดี
แม้ว่าจะยืนยันในใจหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่วันนี้พอได้ยินเย่โม่เซินบอกเธอกับปากแล้ว หานมู่จื่อก็ยังรู้สึกตกใจจนแทบตั้งสติไม่ได้อยู่ดี