บทที่652 แหกกฎนี่
พอเสี่ยวเหยียนได้ฟัง จึงหน้าถอดสี
“เสี่ยวหมี่โต้ว มันไม่เหมือนกับที่เราตกลงกันไว้เลยนะจ๊ะ ก่อนหน้าหนูรับปากอย่างดี ตอนนี้จะมากลับคำหรือจ๊ะ”
“แต่ว่า ผมบอกคุณลุงก็ได้นี่คับ ว่าผมอยากกินกุ้งมังกร ให้คุณลุงพาไปกิน~”
พอได้ฟัง เสี่ยวเหยียนจึงกระพริบตาปริบๆ เธอใช้แรงโอบบ่าเสี่ยวหมี่โต้ว ซาบซึ้งจนเกือบจะร้องไห้ออกมา“เสี่ยวหมี่โต้วจ๊ะ หนูช่างเป็นเด็กดีของคุณน้าเสี่ยวเหยียนเหลือเกิน ต่อไปหนูอยากกินอะไรน้าจะทำให้กินหมดเลย!”
เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตา รู้สึกว่าตัวเองได้กำไรแล้ว
*
หานมู่จื่อตื่นมาก็เป็นเวลาเที่ยง แสงแดดแรงจ้า แม้ว่าจะมีผ้าม่านบดบัง แต่ในห้องก็ยัง คงสว่าง
เธอมองไปบรรยากาศแปลกหน้ารอบตัว นึกถึงคำพูดที่เย่โม่เซินพูดกับตนเองเมื่อคืน
คิดดูแล้ว เธอจึงค่อยๆคลานขึ้นมา
ที่นี่ไม่น่าจะใช่โรงแรม เหมือนบ้านพักมากกว่า แต่แค่แปลกหน้าไปหน่อย แถมรอบๆยัง ไม่มีเสียงคลื่นอีกต่างหาก ไม่น่าจะใช่วิลล่าไห่เจียง
แล้วที่นี่ที่ไหนกัน
หานมู่จื่อเปิดผ้าห่มขึ้น รอบๆเงียบสงัดไปหมด เธอเห็นมือถือตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ
หานมู่จื่อเดินไปหยิบมือถือขึ้น ค้นพบว่าเย่โม่เซินส่งข้อความวีแชทให้เธอข้อความหนึ่ง
ข้อความเขียนว่า “ตื่นมาพออ่านข้อความคุณก็ไปล้างหน้าล้างตา ใช้ของที่ผมเตรียมไว้ให้นะ ในตู้มีเสื้อผ้าอยู่ รอผมกลับมา กินข้าวเที่ยงด้วยกัน”
หานมู่จื่อเงียบไปครู่หนึ่งจึงเดินเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าอุปกรณ์ล้างหน้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว จริงๆด้วย เธอวางมือถือไว้ข้างๆแล้วแปรงฟัน ล้างหน้า
จากนั้นจึงเหม่อลอยอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
นั่นเป็นชุดหนึ่ง
ยังมีอีกสาม สองชุดใหญ่ หนึ่งชุดเล็ก
ราวกับจงใจจัดไว้ให้เธอกับเสี่ยวหมี่โต้ว ทั้งครอบครัวสามคน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอเห็นฉากนี้ หานมู่จื่อในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบอกไม่ถูก
เธอเปิดกล้องถ่ายรูปขึ้น จากนั้นจึงปรับเลนส์กล้อง แล้วถ่ายรูป แล้วก็ยิ้มให้เลนส์กล้อง
รอจนกว่าเธอจะออกมาจากห้องอาบน้ำก็เป็นเวลาสิบกว่านาที เธอยังคงเดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า พอเปิดขึ้นมาก็ค้นพบว่าข้างในเต็มไปด้วยชุดผู้หญิง ตั้งแต่ชุดท่อนบนยันท่อนล่างชุดเดรสหรือชุดกระโปรง แต่ละชุดจัดไว้กันอย่างเข้าชุด
สิ่งเหล่านี้……เขาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เมื่อเลือกดู สุดท้ายหานมู่จื่อก็เลือกชุดประจำวันขึ้นมาสวมใส่ชุดหนึ่ง จากนั้นนั่งลงส่งข้อ ความหาเย่โม่เซิน
{ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ให้ฉันกลับไปก่อนไหม ไม่รอคุณแล้วนะ}
บริษัทตระกูลเย่
ในขณะที่กำลังดำเนินการประชุม เย่โม่เซินนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน เห็นผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนหูแดงตาแดง และสีหน้าท่าทางยังคงไม่เปลี่ยน
มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสั่นขึ้น แววตาเย่โม่เซินเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วหยิบมือถือออกมา
แม้ว่ากฎที่ว่าห้ามรับโทรศัพท์ขณะประชุมนั้นตนเองจะเป็นคนตั้งขึ้น แต่ว่าโทรศัพท์ดัง คราวนี้ เขากลับนึกถึงมู่จื่อที่นอนอยู่ที่บ้าน
กลัวว่าจะพลาดการส่งข้อความให้เธอไป พอเย่โม่เซินหยิบมือถือออกมาเหลือเห็นข้อ ความมุมปากจึงยิ้มขึ้น แล้วกดเข้าไปดู เห็นข้อความที่หานมู่จื่อบอกว่าจะไม่รอตนเอง แล้ว
เย่โม่เซินผู้มีสีหน้าชื่นบานหน้าถอดสีทันที เขาไม่สนใจทุกสิ่งอย่างในที่ประชุมแล้ว รีบ โทรไปหาหานมู่จื่อทันที
ข้อความหานมู่จื่อดังขึ้นเล็กน้อย จึงวางโทรศัพท์ลง คิดว่าเย่โม่เซินน่าจะกำลังทำงานอยู่ คงไม่ตอบเร็วขนาดนั้นมั้ง
แต่ใครจะไปคาดคิด เมื่อข้อความเพิ่งถูกส่งออก โทรศัพท์ของเย่โม่เซินก็มาทันที
ราวกับเงาตามตัว……
หานมู่จื่อรับโทรศัพท์“ฮัลโหล”
“คุณไม่รอผม แล้วคุณจะทำอะไร”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น เขากดเสียงให้ทุ้ม ท่ามกลางเสียงถกเถียงของบรรดาหุ้นส่วนทั้งหลาย เสียงเขาถูกกลับไปเสียหมด
แต่เสียงของเย่โม่เซินช่างคุ้นหู โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเขากดเสียงให้ต่ำ ในช่วงปกติเวลาเขากดเสียงให้ต่ำ หมายความว่าเขาจะบันดาลโทสะ เพราะฉะนั้นทุกคนจะค่อนข้างอ่อนไหวกับน้ำเสียงแบบนี้
ต่อให้เย่โม่เซินกดเสียงให้เบา แต่พวกหุ้นส่วนทั้งหลายก็ยังคงหันมามองทางเขาอยู่ดี
อยากรู้ว่าเขากำลังแสดงความเห็นอยู่หรือเปล่า
และสิ่งที่พวกเขาเห็น กลับเป็นว่าเย่โม่เซินกำลังโทรศัพท์
เรื่องอะไรกัน
เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าห้ามใช้โทรศัพท์ระหว่างประชุม ประธานเย่นี่ยังไงกันนะ!
ดังนั้นกลุ่มคนที่กำลังประชุม จึงหันหลังไปดูอย่างงงงงวย ต่างมองไปที่เย่โม่เซินเป็นตา เดียว
“หือ?”เย่โม่เซินยักคิ้ว“เป็นเด็กดีรออยู่ตรงนั้นนะ ห้ามไปไหนทั้งนั้น ตอนเที่ยงผมจะไปรับคุณ”
หานมู่จื่อลูบคลำท้องของตนเอง อดกลั้นพร้อมกลอกตาขาว“แต่ว่าตอนนี้ฉันหิวแล้วนี่คะ ฉันอยากออกไปหาอะไรกิน สายหน่อยค่อยไปบริษัท ไหนๆคุณก็ติดธุระอยู่ เอาเป็นว่า……”
“หิวแล้วเหรอ”
พอได้ยินเธอบอกว่าหิวแล้ว ความคิดเย่โม่เซินจึงเปลี่ยนทันที น้ำเสียงก็อ่อนลงมาก“ผมละเลยไปเองอ่ะ ผมจะรีบไปรับนะ อย่าไปไหนก่อนล่ะ”
พูดจบ เขาจึงวางสาย แล้วหันตัวกลับไป
ไม่ทันให้คนในห้องประชุมตั้งตัวเย่โม่เซินก็หยิบเสื้อนอกขึ้นสวม เดินไปที่ประตู
กลุ่มคนถึงได้ตั้งตัวขึ้นมา ผู้เฒ่าสองสามคนรีบเข้าไปขวาง
“คุณ คุณชายเย่……นี่กำลังประชุมอยู่นะครับ จะไปไหน”
เย่โม่เซิน“……มีธุระนิดหน่อย”
มีธุระงั้นเหรอ
มีชายชราคนหนึ่งแค่นเสียงพูด“ออกจากที่ประชุมกลางคัน ไม่ดีหรอกมั้ง แล้วก็ไม่ใช่ธุระด่วนสักหน่อย คุณชายเย่……”
เขายังพูดไม่ทันจบ แววตาเย่โม่เซินก็พุ่งไปที่เขาราวกับลูกธนู
“เห็นต่างเหรอ”
แววตาร้ายกาจดุจเหยี่ยว พอทุกคนเห็นแววตานั้น ต่างก็ผงะถอย แต่พอคิดได้ก็เดินขึ้น หน้า
“คุณชายเย่ ผมไม่ได้เห็นต่าง แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังถกกัน และการประชุมก็ยังดำเนินไปได้ไม่ถึงครึ่ง คุณชายเย่จะทิ้งพวกเราไป ไม่ค่อยดีหรอกมั้ง”
“อ๋อ”เย่โม่เซินสีหน้าเย็นชา“ประชุมหยุดไว้ก่อนแล้วกัน พวกคุณรอไปก่อน ผมกลับมาค่อยประชุมต่อ”
“คุณ คุณชายเย่……”
“คุณชายเย่ เวลาเป็นเงินเป็นทองนะครับ คุณ……”
ไม่ทันรอให้พวกเขาพูดจบ เย่โม่เซินได้เปิดประตูห้องประชุมออกหายลับไปแล้ว
ทุกคนสบตากัน มีเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“แล้วเราจะยังไงกันต่อ ต้องรอจริงๆเหรอ”
“หึ ผมว่าช่างเถอะนะ คุณชายเย่ไปรอบนี่น่าจะหลายชั่วโมงอยู่ ไม่เห็นน้ำเสียงสีหน้าโทรศัพท์เมื่อกี้เหรอ”
“เอ๋ คุณชายเย่โทรศัพท์คุยกับผู้หญิงเหรอ”
“ผมว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ใช่ ทุกคนกลับไปทำงานตัวเองเถอะ ประชุมนี้……คงเลื่อนเป็นพรุ่งนี้”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้น……พวกเราไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
พอคนทั้งกลุ่มตกลงกันเสร็จ ต่างก็เก็บของ แล้วออกจากห้องประชุมกัน
พอแยกจากกันแล้ว ฉับพลันคนในห้องรู้สึกว่า ทำไมฉากนี้ดูคุ้นๆ เหมือนกับว่า……เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ
หานมู่จื่อได้ยินว่าเย่โม่เซินจะมา กำลังจะบอกว่าไม่ต้อง แต่ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามกลัว ว่าจะโดนปฏิเสธ จึงชิงวางหูไปก่อน
หานมู่จื่อ“……”
จะต้องรีบสายฟ้าแลบขนาดนั้นเลยเหรอ