บทที่ 67 เหมือนคนที่อดใจรอไม่ไหว
เสิ่นเฉียวตกใจ แม้แต่เย่โม่เซินเองก็อึ้งไปเหมือนกัน
เสิ่นเฉียวริมฝีปากสั่นระเรื่อ แล้วมองไปที่เย่โม่เซินที่อยู่ใกล้ๆนั้นอย่างอับอาย:“ขอ ขอโทษค่ะ……”
เย่โม่เซินหน้าซีด กัดฟันไปมาแล้วจ้องไปที่เธอ
“ขอโทษ?”เขากัดฟันพูดออกมา:“เธอจะเอามือออกได้รึยัง จะจับไปถึงไหน?”
เสิ่นเฉียว:“……”
หลังจากเขาพูดจบ เสิ่นเฉียวก็สัมผัสได้ถึงจุดที่เธอจับอยู่ รู้สึกว่า……จะรับรู้ได้แล้ว ว่ามันใหญ่ขึ้นนิดหน่อย
เสิ่นเฉียวร้องเสียงหลงออกมา แล้วรีบเอามือเก็บทันที เธอจ้องไปที่เขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“โรคจิต!”เธอพูดออกไปขณะที่ใบหน้าก็แดงเป็นลูกเชอร์รี่
เย่โม่เซิน:“……”
จะบ้าตาย!เธอเอามือมาจับเองแท้ๆยังจะมาโทษเขาว่าทำตัวไม่สุภาพอีก?
เย่โม่เซินหรี่สายตาที่เหยียดยาว แล้วจ้องเขม็งไปที่เธอ:“เธอบอกว่าใครโรคจิตนะ พูดอีกทีซิ?”
ลมหายใจของเขาทั้งน่ากลัวทั้งเย็นชา ประดุจดั่งสัตว์ร้ายที่พร้อมจะพุ่งเข้าหา แค่คุณหันหลังวิ่ง เขาก็พร้อมจะกระโจนเข้าใส่คุณแล้วฉีกร่างของคุณออกเป็นชิ้นๆ!
ถึงแม้บางครั้งเสิ่นเฉียวจะกล้าด่าเขา แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะท้าทายกับอารมณ์โกรธที่รุนแรงถึงขีดสุดของเขา พอถูกเขาถามกลับมาแบบนี้ เสิ่นเฉียวก็เกิดกลัวขึ้นมาทันที เธอกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
“ฉัน——ฉันไม่ได้พูดอะไรผิด!”
“มั่นอกมั่นใจเหลือเกิน ยังกล้าพูดอีกว่าตัวเองไม่ผิด?ฉันโรคจิตงั้นเหรอ?เหอะ แล้วใครกันที่เอามือมาวางไว้เอง?”
เสิ่นเฉียว:“……ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย!”
“ใครจะไปรู้?ผู้หญิงแบบเธอ ต่อให้บอกว่าตั้งใจก็อาจจะไม่ยอมรับก็ได้?”
“ตั้งใจ?”เสิ่นเฉียวหมดความอดทน เธอตอบกลับไปว่า:“เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ ใครจะไปอยากโดนตัวคุณ!”
พูดจบ เสิ่นเฉียวก็หันหลังให้ แล้วฟึดฟัดพูดออกมา:“แถมคุณยังมาแอบดูฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก!”
ประโยคที่พูดมานี้มาจากความโมโหล้วนๆ ไม่ได้พูดเพราะต้องการจะเถียงเลยแม้แต่น้อย
แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆเย่โม่เซินก็หัวเราะเยาะออกมา:“เหรอ?ที่เธอต้องการจะสื่อก็คือ เพราะคิดว่าฉันแอบดูเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็เลยมาจับของฉันคืนว่างั้นเถอะ?”
เสิ่นเฉียวหันกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน:“คุณพูดเรื่องบ้าอะไรของคุณ?ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ!”
เคาะๆ——
ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เสิ่นเฉียวหันไปมองทางประตู
เสียงของหานเส่โยวส่งเข้ามาจากด้านนอกของประตู:“เฉียวเฉียว เธอตื่นรึยัง?”
เส่โยว?เธอขึ้นมาได้ยังไง?
ทันใดนั้น เสิ่นเฉียวก็มองไปทางเย่โม่เซินอย่างร้อนรนใจ แต่กลับได้เห็นรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเขา หัวใจเธอหยุดเต้นไปในทันที และรีบตอบกลับไปว่า:“เส่โยว?รอฉันแป๊บนึง ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
เสิ่นเฉียวนึกถึงคำพูดเมื่อวานที่เย่โม่เซินพูดกับเธอเอาไว้ว่า
“ครั้งหน้าที่มาอีก ฉันจะต้อนรับอย่างดีเลยล่ะ”
คำพูดนี้หมายความว่ายังไง ไม่ต้องใช้สมองก็เข้าใจได้ว่า เย่โม่เซินเป็นคนเลวคนหนึ่ง!
เสิ่นเฉียวรีบหยิบของของตัวเอง แล้วเดินอ้อมเย่โม่เซินเตรียมจะออกไป
แต่ก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นตามหลังมา
“เพื่อนของเธอ ดูเหมือนจะอดทนไม่ไหวแล้วนะ”
จังหวะการก้าวเดินของเสิ่นเฉียวต้องหยุดลงทันทีเพราะคำพูดประโยคนี้ เธอไม่ได้หันกลับมา แต่กัดริมฝีปากตัวเองแล้วตอบกลับว่า:“เส่โยวไม่ใช่คนอย่างที่คุณคิด อย่าได้เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปตัดสินคนอื่น!”
“โง่เง่าสิ้นดี”เย่โม่เซินหัวเราะเยาะออกมา
เสิ่นเฉียวกำหมัดแน่น ได้แต่โกรธอยู่ข้างใน
“ฉันกับเส่โยวเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี ถ้าฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่ เย่โม่เซิน คนที่ไม่มีเพื่อนอย่างคุณ จะเข้าใจได้ยังไง?”พูดจบ เสิ่นเฉียวก็ไม่สนใจว่าเย่โม่เซินจะมีท่าทียังไง เธอรีบเดินออกจาห้องไปทันที
หลังจากเปิดประตู ก็เจอใบหน้าอันสวยสง่าของหานเส่โยว
“เฉียวเฉียว ในที่สุดเธอก็มาซะทีนะ”หานเส่โยวเห็นเธอ ก็ยิ้มหน้าบานแล้วเตรียมจะเดินเข้าห้องไป
สีหน้าของเสิ่นเฉียวเปลี่ยนไป เธอขวางไม่ให้หานเส่โยวเข้าไปในห้องก่อนจะดันเธอออกมา แล้วปิดประตู
“เกิดอะไรขึ้น?”ท่าทีของเธอทำให้หานเส่โยวค่อนข้างสับสน:“เฉียวเฉียว เธอไม่ให้ฉันเข้าไปเหรอ?”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็ตอบกลับไปอย่างหน่ายใจว่า:“เย่โม่เซินอยู่ข้างใน”
“อยู่ข้างในแล้วยังไง?”หานเส่โยวหัวเราะออกมา แล้วพูดต่ออย่างไม่สนใจว่า:“พวกเราเคยเจอกันมาก่อนแล้วนะ”
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วขึ้นมาเองอัตโนมัติ ดูเหมือนว่าหานเส่โยวจะไม่เกรงกลัวเย่โม่เซินเลยแม้แต่นิดเดียว บรรยากาศที่เย็นยะเยือกรอบๆตัวของเขา เธอไม่รู้สึกบ้างเลยเหรอ?เสิ่นเฉียวยืนกะพริบตาปริบๆ อยากจะพูดแต่ก็พูดออกไปไม่ได้
หานเส่โยวสังเกตเห็นว่าเธอเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ไม่พูดออกมา จึงรับรู้ได้ว่าเธอเองค่อนข้างจะล้ำเส้นไป จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า:“นี่ ที่ฉันพูดน่ะหมายความว่า ยังไงก็มีเธออยู่ทั้งคน แล้วฉันมีอะไรต้องกลัวด้วยล่ะ?”
“แต่……”
“เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่สิงสาราสัตว์ เธอจะกลัวอะไรเฉียวเฉียว?”
พูดจบ หานเส่โยวก็จ้องไปที่เธอ สีหน้าของเสิ่นเฉียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอกลัวอะไรหานเส่โยวต้องรู้สิถึงจะถูก
“เส่โยว……”
“เอาเถอะ ยังไงคนที่ฉันมาหาก็คือเธอไม่ใช่เขา เขาไม่อยู่ในสายตาฉันหรอก ดังนั้นฉันไม่ได้แคร์อะไร ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปกินมื้อเช้า”
เสิ่นเฉียวค่อนข้างแปลกใจ:“เธอมาแต่เช้าแบบนี้ เพื่อมาพาฉันไปกินข้าวเช้า?”
“ใช่ เพราะเมื่อวานฉันไปถามคุณหมอแทนเธอมา หมอบอกว่าสภาพร่างกายเธอแย่มาก คาดว่าน่าจะเป็นเพราะการทำงานที่หักโหมก่อนหน้านี้ บวกกับไม่ได้ทานอาหารครบห้าหมู่ น่าโมโหจริงๆ หลินเจียงไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนี้ใช้เธออย่างกับทาส เสียเวลาสองปีที่เธออุตส่าห์ทนรักมัน ก่อนหน้านี้ฉันไม่น่าฟังที่เธอห้ามเลย น่าจะจัดการมันให้จบๆไป เธอจะได้ไม่ต้องมาเจ็บช้ำแบบนี้!”
พอเห็นหานเส่โยวโมโหแทนเธอขนาดนี้ เสิ่นเฉียวก็รู้สึกขอบคุณขึ้นมาจากภายใน
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันแล้วก็แล้วไป”
“อื้ม เย่โม่เซินตื่นแล้วเหรอ?เรียกเขามาด้วยกันมั้ย?”หานเส่โยวเสนอขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องก็ได้มั้ง?เขาน่าจะไม่อยากมากับพวกเราหรอก พวกเราไปกันแค่สองคนก็พอแล้ว”
แกร๊ก——
และในตอนนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง เย่โม่เซินเข็นวีลแชร์ออกมาจากห้องด้วยตัวเอง สีหน้าของเสิ่นเฉียวเปลี่ยนไป แล้วกำมือหานเส่โยวเอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ!
“เส่โยว งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
“คุณชายเย่?อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันกับเฉียวเฉียวกำลังจะไปทานอาหารเช้ากันพอดี ไม่ทราบว่าคุณชายเย่อยากจะไปทานด้วยกันมั้ยคะ?”
“เส่โยว!!”ใบหน้าอันขาวสวยของเสิ่นเฉียว เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไร?”หานเส่โยวเห็นปฏิกิริยาที่เวอร์วังของเสิ่นเฉียวนั้น ก็ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปาก แล้วพูดออกมาอย่างประหม่า:“พวก พวกเรา……”
“ไปสิ”ในขณะที่เสิ่นเฉียวกำลังประหม่าจนพูดไม่ออกนั้น เย่โม่เซินยิ้มมุมปากขึ้นมา แล้วตบปากรับคำ
เสิ่นเฉียวเบิกตาโพลง
ให้ตายสิ!
อยู่ๆเขาก็ตอบรับคำซะอย่างนั้น!
“โอเค งั้นไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันขับรถให้เอง”หานเส่โยวหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วแกว่งไปมาตรงหน้าเย่โม่เซิน แล้วใช้ลิปสติกทาปากให้มีสีแดงโค้งสวยเงางาม
เสิ่นเฉียวมองดูภาพตรงหน้าอย่างเหนื่อยใจ แล้วก็คิดบางอย่างได้ ก่อนจะเดินไปข้างหลังเย่โม่เซิน:“ฉันเข็นให้คุณนะ”
ถึงยังไงเขาก็ตอบตกลงแล้ว เสิ่นเฉียวจะมาพูดอะไรต่อหน้าหานเส่โยวอีกก็คงจะดูไม่ดี ไม่งั้นถ้าเกิดเธอมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเกินไป พอถึงตอนนั้นเส่โยวก็อาจจะคิดไปถึงไหนต่อไหนได้
“เอาล่ะ ฉันไปเอารถก่อนนะ พวกเธอค่อยๆตามมาล่ะ”
จากนั้นหานเส่โยวก็เดินนำหน้าไป เสิ่นเฉียวก็เข็นวีลแชร์ของเย่โม่เซินตามไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆกับเขาว่า:“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”