บทที่674 มันสมองไม่พอใช้แล้ว
เซียวซู่หยุดเดินทันที เขาหันกลับไปมองหน้าเย่โม่เซินอย่างงุนงง
“คุณชายเย่ครับ”
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองหน้าเซียวซู่นิ่ง เหมือนความเยือกเย็นของน้ำในแม่น้ำฤดูหนาว
“ฉันบอกให้นายไปสืบแล้วเหรอ”
เซียวซู่ส่ายหน้า
“แล้วนายจะทำเกินคำสั่งทำไม”
จริงด้วย คุณชายเย่ยังไม่ได้ออกคำสั่งเลย แล้วเขาจะตื่นเต้นไปทำไม เซียวซู่กระแอมเบาๆ เพราะเขายังตกใจกับเรื่องที่รู้อยู่ “คุณชายเย่ครับ ที่ผมพูดก่อนหน้านี้ถูกต้องใช่ไหมครับ คุณนายน้อยมีลูกชายให้คุณชายเย่จริงๆ และยังหน้าตาเหมือนคุณชายเย่มากด้วย ดังนั้นหลายวันมานี้คุณชายเย่ถึงได้เครียดว่าจะให้ของขวัญอะไรกับเด็กใช่ไหมครับ”
เย่โม่เซินไม่สนใจคำพูดของเขา แต่ในความคิดของเซียวซู่คืออีกฝ่ายยอมรับแล้ว เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีจุดที่น่าสงสัย แล้วเริ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่ใช่สิ เธอจะมีลูกหน้าตาเหมือนคุณชายเย่ได้ยังไงกัน ตลอดห้าปีมานี้คุณชายเย่ไม่ได้เจอคุณนายน้อยเลย อีกทั้งตอนที่คุณนายน้อยแต่งเข้าตระกูลเย่เธอก็ตั้งท้องได้เดือนกว่าๆอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านั้น… คุณชายเย่กับเธอยังไม่ได้แต่งงานกันเลย จะเป็นไปได้ยังไง…”
ยิ่งพูด เซียวซู่ก็ยิ่งรู้สึกมึนไปหมด
นี่มันเรื่องอะไรกัน
คุณสวยน้อยมีลูกกับท่านประธาน เธอคลอดลูกตั้งแต่เมื่อไหร่
คิดไปคิดมา เซียวซู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ
เย่โม่เซินที่นั่งฟังอยู่ก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา
“ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ฉันโดนเธอหลอกมาตั้งนาน”
เซียวซู่ลูบศีรษะของตัวเอง “คุณชายเย่ครับ ทำไมผม… ผมรู้สึกเหมือนมันสมองของผมจะไม่พอใช้เลย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ”
“ในตอนนั้น ฉันเคยให้นายไปตามหาผู้หญิงคนนั้น นายยังหาไม่เจอใช่ไหม”
เย่โม่เซินเปลี่ยนข้อสนทนากะทันหัน ทำให้เซียวซู่ยิ่งงุนงง แต่เขาก็ยังตอบกลับ “ยังไม่เจอเบาะแสจริงๆครับ เรื่องนี้จะว่าไปมันก็น่าแปลก ทั้งที่แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ผมส่งคนออกไปตามหาเยอะถึงขนาดนั้น ทำไมถึงหาไม่เจอสักที เหมือนกับว่า… ผู้หญิงคนนั้นจะหายไปอย่างลึกลับ ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ”
พูดถึงตรงนี้ เซียวซู่ก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองทางเย่โม่เซิน
“คุณชายเย่ครับ ผู้หญิงในคืนนั้น… คงไม่ใช่คุณนายน้อยหรอกใช่ไหมครับ”
พูดถึงขึ้นนี้แล้ว ถึงเซียวซู่จะไม่ถามต่อก็แน่ใจแล้ว
เขาถลึงตาโต และยังรู้สึกไม่น่าเชื่ออยู่เหมือนเดิม
คนที่เย่โม่เซินให้เขาตามหาในตอนนั้น เขาเสียทั้งเงินเสียทั้งสมองและกำลังเพื่อออกตามหา แต่ผลสุดท้าย…
คนคนนั้นกลับอยู่ใกล้ๆเย่โม่เซินมาโดยตลอด แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึง อุตส่าห์ออกตามหาอย่างยากลำบาก ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในบ้านของเขาแบบนี้
“มิน่าล่ะ…”เซียวซู่ลูบศีรษะของตัวเอง ก่อนจะเริ่มพูดคนเดียวอีกครั้ง
“ดังนั้นก็หมายความว่าเราอุตส่าห์ตามหาอย่างยากลำบาก แต่ก็หาไม่เจอสักที ก็เป็นเพราะ… คนที่คุณชายเย่สั่งให้ตามหาอยู่ต่อหน้าพวกเราอยู่แล้วนี่เองสินะ”
และพวกเขามองข้ามกันไปเอง หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน
เซียวซู่นึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้นในตอนนั้น… เด็กในท้องคุณนายน้อยที่คุณชายเย่คิดจะเอาออก ก็เกือบจะ…”
พูดถึงตรงนี้ เซียวซู่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปกะทันหัน เขารีบหยุดพูด และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
นึกขึ้นมาได้ก็ยิ่งรู้สึกตกใจ ถ้าหากในตอนนั้นคุณชายเย่ไม่รู้สึกสงสารคุณนายน้อยขึ้นมาซะก่อน และไม่เอาเด็กออก ตอนนี้คุณชายเย่คงกลายเป็นคนที่ฆ่าลูกของตัวเองไปแล้ว
พอคิดได้แบบนี้แผ่นหลังของเขาก็เสียววาบ
“คุณชายเย่ครับ งั้นหลายปีมานี้ คำพูดดูถูกเหยียดหยามที่คุณนายน้อยได้รับ”
“คำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างนั้นเหรอ” เย่โม่เซินชะงักไปทันที คำพูดของเซียวซู่ทำให้เขาเหม่อลอย
“ใช่สิครับ”เซียวซู่รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากตอนนั้นคุณนายน้อยตั้งท้องลูกของคุณชายเย่อยู่ นั่นก็แสดงว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ… แต่ว่าตอนที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลเย่ เธอถูกดูถูกเหยียดหยามสารพัด ท่าทีของคุณชายเย่ที่มีต่อเธอ คุณชายเย่คงยังจำได้นะครับ”
เย่โม่เซินยืนชะงักอยู่ที่เดิม
สักพัก คงจะเป็นเพราะอารมณ์เสีย เขาจึงตะโกนออกมา “ออกไปซะ”
เซียวซู่ “…”
ดูจากท่าทางที่แปลกไป เซียวซู่จึงทำได้แค่เดินออกจากห้องไปตามคำสั่ง
หลังจากที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว ห้องประชุมจึงเหลือเพียงเย่โม่เซินคนเดียว เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลง
ก่อนจะเริ่มนึกย้อนถึงเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อน
ในตอนนั้นมู่จื่อเพิ่งแต่งเข้ามาในตระกูลเย่ แม้แต่ทะเบียนสมรสยังเป็นฝีมือคุณปู่เป็นคนสั่งให้คนไปจัดการให้ งานแต่งงานจัดอย่างเรียบง่าย ที่จริงแล้วเย่โม่เซินเข้าใจความคิดของคุณปู่ในตอนนั้นดี
ให้เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้วีลแชร์แต่งงานกับลูกสาวเจ้าของบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย นั่นเท่ากับว่ากำลังประกาศให้ทุกคนได้รู้ ว่าเย่โม่เซินจะไม่มีวันได้รับความสำคัญจากตระกูลเย่แม้แต่น้อย
เย่โม่เซินเข้าใจดี ถึงแม้คุณปู่จะรับเขากลับเข้าตระกูลเย่ แต่เป็นเพราะว่าท่านทำให้แม่ของเขาต้องตาย จึงระแวงอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าถ้าเขารู้เรื่องนี้จะแก้แค้นตนเอง ดังนั้นจึงพยายามขัดขวางเขาสารพัด อีกทั้งยังหาภรรยามาควบคุมเขา และคิดจะทำให้เขาเชื่อฟังคำสั่งของตนเอง
แต่น่าเสียดาย คุณปู่เห็นถึงความสามารถของเขา คิดจะใช้ประโยชน์จากเขาให้ดูแลบริษัทตระกูลเย่ แต่ก็คิดจะกดขี่เขาไว้ไม่ให้โผล่หัวขึ้นมาได้
เรื่องพวกนี้ เย่โม่เซินรู้ดี
ดังนั้นตอนที่เธอแต่งเข้ามา เย่โม่เซินถึงคิดว่าเธอกับคุณปู่ร่วมมือกัน และเขายังมารู้ว่าเธอท้องอีก
เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่สุดสำหรับเย่โม่เซินแล้ว
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าผู้หญิงคนนี้หลงระเริงไปกับชื่อเสียงเงินทอง เขาจึงไม่ปล่อยให้เธอได้มีความสุข ดังนั้นจึงหาสารพัดวิธีทำให้เธอลำบาก เพื่ออยากให้เธอยอมถอยออกไปเอง
แต่ใครจะรู้…
เย่โม่เซินนวดขมับตัวเองไปมา พอกลับมานึกย้อนดู เส้นเลือดบริเวณขมับก็เต้นกระตุกอย่างแรง
หมายความว่า ในขณะที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกรังแก มู่จื่อเองก็ถูกรังแกถูกดูถูกเหยียดหยามมากเหมือนกันสินะ
หานมู่จื่อทำการตรวจงานออกแบบที่เลิงเยาเยาส่งมาให้จนเสร็จ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวเลยทีเดียว พัฒนาการของเธอดีขึ้นมาก พยายามต่อไปนะ”
พอได้รับคำชมของหานมู่จื่อ เลิงเยาเยารู้สึกดีใจมาก เธอกอดงานออกแบบเดินยิ้มออกไป
ตอนที่เสี่ยวเหยียนเดินเข้าไปในห้องพบว่าหานมู่จื่อยังงานยุ่งมาก และดูท่าทางเป็นปกติมาก จึงเริ่มรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
แต่พอคุยปัญหากับหานมู่จื่อไปหลายคำถาม แต่หานมู่จื่อก็ยังวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้เสี่ยวเหยียนรู้สึกตกตะลึงมาก
“มู่จื่อ เธอไม่เป็นอะไรจริงๆนะ”
เสี่ยวเหยียนถามออกมาอย่างอดใจไว้ไม่ไหว
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันจะเป็นอะไรได้ แล้วงานล่ะ วันๆเธอคิดอะไรในสมองบ้างเนี่ย”
ถูกเธอต่อว่าแบบนี้ เสี่ยวเหยียนก็พูดอะไรไม่ออก ถ้าพูดต่ออีกจะดูเหมือนเธอไม่ตั้งใจทำงาน พอคิดได้แบบนี้ เสี่ยวเหยียนจึงต้องหยุดพูดไป
“งั้นฉันไปทำงานต่อก่อนนะ ตอนเย็น… ฉันไปรับเสี่ยวหมี่โต้วเลิกเรียนได้ไหม”
พอได้ยินแบบนั้น หานมู่จื่อก็ชะงักไป เธอเกือบจะลืมไปเลยว่าเสี่ยวเหยียนให้เสี่ยวหมี่โต้วเป็นกุนซือในด้านความรักของเธอไปแล้ว
แต่หลายวันนี้…
พอนิ่งคิดได้สักพัก เธอก็พูดขึ้นมา “คงจะไม่ได้ ตอนนี้เสี่ยวหมี่โต้ว… ต้องไปอยู่กับเย่โม้เซิน เย่โม่เซินคงเป็นคนไปรับที่โรงเรียน”
“อาจจะไม่ก็ได้นะ”เสี่ยวเหยียนกอดจินตนาการสุดท้ายของเธอไว้แน่น “ถึงยังไงหลังเลิกงานฉันก็จะไปนั่งคอย ถ้าหากคุณชายเย่ไม่มารับ ฉันก็จะพาเสี่ยวหมี่โต้วกลับบ้านด้วย”