บทที่675 เกิดภาพลวงตา
หานมู่จื่อมองไปทางเสี่ยวเหยียนอย่างจนใจ หญิงสาวคนนี้ชอบหานชิงมากแค่ไหนกันนะ ถึงได้อยากจะเจอหน้าหานชิงทุกวันแบบนี้
พอสบตากับหานชิง เสี่ยวเหยียนก็จะก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาใหม่ ก่อนจะพูด “ฉันรู้ว่าเธอคงจะคิดว่าฉันจู่โจมมากเกินไปใช่ไหม แต่ว่า… ถ้าหากฉันไม่คว้าโอกาสที่มีไว้ แล้ววันใดวันหนึ่งข้างกายของหานชิงมีผู้หญิงคนอื่นขึ้นมาจะทำยังไง ถึงตอนนั้น… ถึงฉันอยากจะพยายามมากแค่ไหน ก็คงไม่มีโอกาสแล้ว”
หานมู่จื่อ “…”
“อีกอย่างการเพิ่มความประทับใจ ถ้าหากไม่ทำทุกวัน ผ่านไปไม่กี่วันพี่ชายของเธออาจจะลืมฉันไปเลยก็ได้”
“ฉันเข้าใจแล้ว” หานมู่จื่อพยักหน้าให้ พอเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเสี่ยวเหยียน เธอก็ยิ้มออกมา “อย่างมากสามวัน ฉันจะรับเสี่ยวหมี่โต้วกลับมาเป็นกุนซือให้เธอแน่นอน”
“จริงๆนะ” เสี่ยวเหยียนมองมาด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะถาม
“อืม”
เสี่ยวเหยียนนึกถึงใบหน้าเย็นชาของเย่โม่เซิน แล้วรู้สึกกลัวขึ้นมา เธอกัดริมฝีปากล่างแล้วถาม “แล้วถ้า… คุณชายเย่ไม่ยอมล่ะ เพราะตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ตอนนี้เสี่ยวหมี่โต้วรู้เรื่องพ่อแล้ว และพ่อของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นถึงคุณชายเย่ของตระกูลเย่แห่งเมืองเป่ยเลยนะ
ถ้าหากเขารู้ว่าเธอแอบใช้งานลูกชายของเขามาเป็นกุนซือด้านความรักให้ เสี่ยวเหยียนไม่รู้ว่าตัวเองจะตายยังไงแล้ว
“ไม่หรอก”หานมู่จื่อยิ้มละไม “ฉันบอกแล้วไงอย่างมากสามวัน ช่วงนี้เธออดทนไว้ก่อนนะ”
สามวัน…
พอได้ยินขอบเขตเวลาที่แน่นอน เสี่ยวเหยียนก็อดคิดในใจไม่ได้ มู่จื่อคงไม่ได้คิดจะทำอะไรใช่ไหม ถ้าหากคุณชายเย่ไม่ยอม หรือว่า… เธอจะไปแย่งลูกชายคืนมา
ทั้งสองคนอุตส่าห์ได้กลับมาคืนดีกัน ถ้าหากทะเลาะกันอีกครั้ง คงจะแตกหักกันแน่ๆ
พอคิดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนก็อดถามออกมาไม่ได้ “คือว่านะ มู่จื่อ… ฉันว่าเรื่องของฉันเลื่อนเวลาไปก่อนก็ได้ ฉันคิดว่าความสุขของเธอสำคัญที่สุด เสี่ยวหมี่โต้วเป็นลูกของเธอ ถึงฉันจะชอบหานชิงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัวแบบนี้…”
“ใครบอกว่าเธอเห็นแก่ตัวกัน นี่เธอคิดอะไรของเธอเนี่ย”
หานมู่จื่อเอามือกอดอก แล้วมองเสี่ยวเหยียนอย่างตลกขบขัน รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าใจอะไรผิด
“เธอกับคุณชายเย่อุตส่าห์กลับมาคืนดีกันได้ ฉันกลัวว่าพวกเธอ…”
“ไม่หรอก”
หานมู่จื่อส่ายหน้า “วางใจได้ ฉันรู้ว่าควรจะทำยังไง เรื่องนี้… ฉันปิดบังเขานานไปแล้วจริงๆ”
“เธอหมายความว่า…”เสี่ยวเหยียนมองเห็นประกายรอยยิ้มในแววตาของเธอ จึงเข้าใจในทันที “ฉันเข้าใจแล้ว งั้นฉันจะรอฟังข่าวดีของเธอนะ”
หานมู่จื่อยิ้ม ไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปเร็วมาก ทุกวันหานมู่จื่อทำงานและเลิกงานตรงตามเวลา กินข้าวนอนหลับ ถึงในห้องจะขาดไปหนึ่งคน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหยียนรู้ความคิดของเธอก่อนแล้ว คงจะคิดว่ามู่จื่อมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจไปแล้ว
ไม่นาน ก็ครบกำหนดสามวัน
หานมู่จื่อยังคงตื่นนอนตามปกติ ไปทำงานตามปกติ แต่เสี่ยวเหยียนกลับเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
“สามวันแล้วนะ มู่จื่อ เธอ…”
“หืม”หานมู่จื่อชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “สามวันแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
เสี่ยวเหยียนมองท่าทางสบายอารมณ์ของเธอ ภายในใจเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ เธอเป็นอะไรไป นี่มันผ่านมาสามวันแล้ว แต่เย่โม่เซินกับเสี่ยวหมี่โต้วยังไม่ปรากฏตัวออกมาสักที แต่มู่จื่อกลับยังสบายอารมณ์อยู่ได้
ถึงสีหน้าของเธอจะดูเหมือนมีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่เป็นแผนอะไร เสี่ยวเหยียนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ในเมื่อถึงเวลาแล้ว งั้นวันนี้เธอไปรับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนได้เลยนะ”
“หะ” เสี่ยวเหยียนถลึงตาโต “ให้ฉันไปรับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนได้เลยเหรอ แบบนี้… จะดีเหรอ เธอบอกกับคุณชายเย่หรือยัง”
“ยังไม่ได้บอก”
หานมู่จื่อตอบกลับเสียงเรียบ
เสี่ยวเหยียนได้ยินก็หน้าเหยเก “เธอไม่บอก ถ้าฉันไปรับเลย จะไม่เกิดปัญหาใช่ไหม”
“วางใจได้ เธอไปรับได้เลย เดี๋ยวเลิกงานแล้ว ฉันไปบอกกับเขาเอง”
พอได้ยินว่าหลังเลิกงานหานมู่จื่อจะไปหาเย่โม่เซิน เสี่ยวเหยียนถึงได้วางใจ ขอแค่มู่จื่อไปหาเขา งั้นเธอก็สามารถไปรับเสี่ยวหมี่โต้วได้แล้ว
“ได้ ฉันรู้แล้ว วันนี้ฉันจะเลิกงานก่อนเวลา แล้วจะไปนั่งรอรับ”
เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว เสี่ยวเหยียนเดินมาบอกกับหานมู่จื่อ ก่อนจะเดินตัวลอยออกจากบริษัทไปทันที หลังจากเธอออกไปแล้ว หานมู่จื่อก็จ้องมองโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะ
วันนี้ทั้งวัน มันถูกวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ ไม่มีเสียงโทรเรียกเขาเลย
พูดได้ว่า โทรศัพท์ของเธอเงียบมาได้หลายวันแล้ว ส่วนเย่โม่เซินก็เหมือนหายตัวไปจากชีวิตของเธอเลย
สามวันมานี้ เขาไม่ส่งข้อความอะไรให้เธอเลย และไม่แม้แต่จะโทรมาด้วย เหมือนหายตัวไปเลย
เหมือนตอนที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าเธอก่อนหน้านี้ หานมู่จื่อก้มหน้าลงอย่างจนใจ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปในทันที
ในเมื่อเสี่ยวเหยียนไปนั่งรอเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนแล้ว เธอเองก็ควรจะไปนั่งรอเย่โม่เซินที่บริษัทตระกูลเย่ได้แล้ว
พอคิดได้แบบนี้ หานมู่จื่อก็รีบเคลียร์งานทันที
หลังจากที่เธอจัดการงานสุดท้ายเสร็จ เธอก็เดินทางออกจากบริษัทไป แล้วขับรถตรงไปตามทิศทางที่บริษัทตระกูลเย่ตั้งอยู่
บริษัทตระกูลเย่
ตอนที่หานมู่จื่อมาถึง ตรงกับเวลาเลิกงานพอดี หานมู่จื่องนิ่งคิดสักพัก จึงตัดสินใจนั่งรองเย่โม่เซินอยู่ชั้นล่าง ถ้าขึ้นไปตอนนี้ เธอไม่รู้ว่าเขาจะหลบหน้าเธอหรือเปล่า
แต่ที่นี่จอดรถนานเกินไปไม่ได้ ดังนั้นหานมู่จื่อจึงต้องขับรถไปจอดไว้ตรงที่ว่างของลานจอดรถ ก่อนจะเดินไปนั่งที่ร้านกาแฟตรงข้ามบริษัท เธอสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว แล้วนั่งตรงเก้าอี้ติดหน้าต่าง
ตำแหน่งนี้โดดเด่นมาก และเพราะแสงที่ส่องเข้าผ่าผ่านบานกระจก ทำให้มองเห็นอย่างนอกอย่างชัดเจน
ขอแค่เย่โม่เซินออกมา เธอก็จะเห็นทันที
หานมู่จื่อจับโทรศัพท์ไว้แน่น เธอกดเปิดวีแชทแล้วมองภาพประจำตัวที่คุ้นเคย เธอลังเลใจว่าจะโทรไปหาเขาหรือจะส่งข้อความไปหาเขาดี
เธอนิ่งคิด ในเมื่อมาแล้ว ยังต้องโทรหาหรือส่งข้อความหาอีกเหรอ ไปหาเขาตรงๆก็ได้แล้ว
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากเลยเวลาเลิกงานได้ห้านาที ในที่สุดหานมู่จื่อก็มองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินออกมาจากบริษัท
ใจเธอเต้นแรงมาก เธอรีบวางแก้วกาแฟลง แล้วหยิบกระเป๋ารีบวิ่งออกไปทันที
เย่โม่เซินจีบกุญแจรถเดินออกมา คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปม เพราะเขารู้ว่าวันนี้เขาเลิกงานช้ากว่าปกติ ถ้าไปรับเสี่ยวหมี่โต้วตอนนี้ เสี่ยวหมี่โต้วคงจะรอเขานานแล้ว
ดังนั้นเขาจึงก้าวขาออกไปอย่างรวดเร็ว หานมู่จื่อวิ่งตามอยู่ข้างหลัง เธอใส่รองเท้าส้นสูงอยู่ด้วย ผลสุดท้ายเขากลับเดินไปอย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อนึกว่าเขามองเห็นเธอแล้ว แต่ไม่อยากให้เธอไล่ตามทัน ไม่อยากเจอหน้าเธอ
เธอรู้สึกโมโหมาก จึงหยุดเดิน แล้วตะโกนตามหลังเข้าไป
“เย่โม่เซิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
คนที่เดินอยู่ตรงหน้าหยุดเดิน เย่โม่เซินขมวดคิ้วแน่นขึ้น นี่เขาหูฝาดไปหรือเปล่า
เมื่อตะกี้…ดูเหมือนจะได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้น
ไม่สิ ตามนิสัยของเธอ เธอจะมาหาเขาก่อนได้ยังไงกัน คงจะเป็นเพราะช่วงนี้เขาคิดถึงเธอมากเกินไป จนทำให้เกิดอาการหูฝาดขึ้นมาแบบนี้