บทที่678 จะหูฝาดหรือว่าอะไร ก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ
เขาพูดว่าอะไรนะ
หานมู่จื่อชะงักงัน ก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติ
“คุณหมายความว่า… คุณคิดไม่ถึงว่าฉันจะมาหาคุณที่นี่ ดังนั้นเมื่อตะกี้คุณคิดว่าตัวเองหูฝาดไปเองอย่างนั้นเหรอคะ”
สายตาของเย่โม่เซินนิ่งขรึม หลังจากที่เงียบไปได้สักพักก็พูดอ้ำอึ้งออกมา
“จะหูฝาดหรือว่าอะไร ก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ”
หานมู่จื่อเข้าใจในทันที
เธอเดาใจเย่โม่เซินไม่ออกจริงๆ เขามักจะเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับเธอ เธอยังจำคำพูดที่เขาพูดกับเธอก่อนหน้านี้ได้ทุกคำ
ถ้าหากเขาไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกเชื่อใจเขาได้ งั้นก็อย่ามายุ่งกับเธอเลยจะดีกว่า
เพราะหลังจากผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมาย ตอนนี้เธออ่อนไหวง่ายมาก และเพราะเป็นอย่างนี้ เธอถึงได้คิดทุกอย่างแทนเย่โม่เซิน
เธอรู้สึกว่า เมื่อก่อนเขาเป็นคนเข้าหาเธอมาตลอด งั้นเธอจะลองเข้าหาเขาเองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“งั้น… สำหรับคุณแล้วอะไรสำคัญที่สุดคะ”
“เสี่ยวหมี่โต้วเหรอคะ” หานมู่จื่อทิ้งคำถามไว้ แล้วถามคำถามใหม่เพิ่มไปอีก
“เพราะมีลูก ทำให้คุณคิดว่าฉัน…”
คำพูดของเธอยังไม่ทันได้พูดจบ เย่โม่เซินก็ยิ้มริมฝีปากเข้ามา ก่อนหน้านี้เขาจูบซับน้ำตาให้เธอ แต่ครั้งนี้กลับจูบริมฝีปากของเธอเต็มๆ หานมู่จื่อชะงักงัน ก่อนจะรีบผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว
“คุณทำอะไรของคุณเนี่ย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสนุกมากหรือไง”
เย่โม่เซินกอดเธอไว้แน่น ก่อนจะกระซิบข้างหูของเธอ
“ไม่สนุก”
“ไม่สนุกเลยสักนิด หลายวันมานี้… ผมทรมานใจมาก”
“ผมรู้ว่าคุณเสียใจมาก แต่เรื่องนี้ผมยังตั้งตัวไม่ทัน ถึงยังไงผมก็ไม่เคยคิดที่จะเลิกกับคุณ ถึงคุณจะไม่มาหาผม ผมก็จะไปหาคุณอยู่ดี”
ความอบอุ่นของร่างกายค่อยๆแผ่ออกมาเล็ดลอดผ่านเสื้อผ้ามาถึงเธอช้าๆ เย่โม่เซินกอดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ หานมู่จื่อถูกกอดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่กลับรู้สึกว่าความว่างเปล่าในหัวใจถูกเติมเต็มไปด้วย
เธอหลับตาลง แล้วยื่นมือไปกอดเย่โม่เซินไว้เช่นกัน
ใครเป็นคนพูดไว้ ว่าอ้อมกอดแค่อ้อมกอดหนึ่งไม่เพียงพอในการแก้ปัญหา
ถ้าหากแค่ครั้งเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ งั้นก็เพิ่มเป็นสองครั้ง
ถึงแม้หลายวันนี้เธอจะสับสนวุ่นวายใจมาก แต่แค่ถูกเขากอดไว้แบบนี้ หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่านี้แล้ว ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน ถึงจะสำคัญที่สุด
ทั้งสองคนไม่รู้ว่ากอดกันนานแค่ไหนแล้ว เย่โม่เซินค่อยๆคลายอ้อมกอด ก่อนจะพูดเสียงทุ้ม “คืนนี้ ไปที่บ้านผมนะครับ”
หานมู่จื่อ “… อะไรนะคะ”
“หรือจะไปที่บ้านคุณ”
หานมู่จื่อ “…”
เธอยืนงงอยู่สักพัก ถึงจะเข้าใจความหมายของเย่โม่เซิน หน้าของเธอเริ่มรู้สึกร้อน ก่อนจะเอ่ยปากพูด “คุณ ไปที่บ้านคุณดีกว่าค่ะ”
ที่บ้านเธอไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
เพราะมีเสี่ยวเหยียนอยู่ด้วย อีกทั้งเสี่ยวหมี่โต้วเองก็อยู่ ถึงเวลานั้นมีเสียงที่เด็กน้อยไม่ควรได้ยินเล็ดลอดออกไปจากห้อง คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
หานมู่จื่อยังจำได้ว่ามันน่าอายแค่ไหนตอนที่ถูกเสี่ยวเหยียนเข้ามาเห็นเข้า ถ้าหากมีรู เธอคงจะมุดหน้าลงไปโดยไม่ลังเลใจเลย
“ได้ครับ”
หลังจากได้รับอนุญาตจากเธอ เย่โม่เซินก็อุ้มเธอขึ้นมา หานมู่จื่อตกใจจนกรีดร้องออกมา แขนของเธอกอดคอเขาไว้ตามสัญชาตญาณ
“คุณ คุณทำอะไรเนี่ย ปล่อยฉันลงนะคะ ฉันเดินเองได้”
“อุ้มคุณขึ้นรถครับ”
หานมู่จื่อ “… ไม่ต้องค่ะ แค่เดินไม่กี่ก้าวเอง แล้วอีกอย่างฉันจำได้ว่าตัวเองขับรถมา”
พอพูดจบ เธอก็โบกกุญแจรถในมือไปมา เย่โม่เซินยิ้มกริ่ม ก่อนจะจูบแก้มเธอ “จอดทิ้งไว้ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยมาขับกลับครับ”
หานมู่จื่อเม้มปาก แต่ไม่พูดอะไรอีก เธอปล่อยให้เย่โม่เซินอุ้มไปนั่งบนรถ และช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะเดินทางออกจากบริษัทไป
ในระหว่างทางกลับบ้าน หานมู่จื่อมองใบหน้าด้านข้างของเย่โม่เซิน
“คุณ… ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ”
เย่โม่เซินที่ตั้งใจมองทางอยู่ พอได้ยินก็หันไปมองเธอเล็กน้อย
ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอถาม หานมู่จื่อจึงเตือนความจำให้เขา “คุณลืมไปหรือเปล่าคะว่าต้องไปรับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียน”
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็ตบพวงมาลัยรถ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา
ดูท่าทางของเขา เขาคงจะลืมไปแล้วจริงๆ หานมู่จื่อริมฝีปากกระตุก เดิมทีเธอคิดว่า… เขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองมีลูกชาย น่าจะให้ความสำคัญกับลูกมากถึงจะถูก แต่เย่โม่เซินเป็นอะไรไป แค่เธอมาหาเขา เขาก็ลืมลูกชายไปเลยอย่างนั้นเหรอ
รถติดไฟแดงพอดี เย่โม่เซินจึงจอดรถ แล้วขมวดคิ้วพูด “เดี๋ยวผมเลี้ยวรถกลับไปรับ”
หานมู่จื่อ “…คุณลืมจริงๆเหรอเนี่ย”
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็เม้มปากตัวเอง ก่อนจะตบหน้าตัวเองเบาๆ
“ไม่จริงใช่ไหมคะ นั่นลูกชายของคุณนะคะ แต่คุณกลับ…”
เย่โม่เซินหันหน้ากลับมา แล้วมองหน้าหานมู่จื่อนิ่ง “ใครบอกให้คุณมาทำให้ผมสับสนกันล่ะ”
หานมู่จื่อยิ้มกว้างอย่างหุบไม่อยู่ เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย
“เดี๋ยวผมกลับรถไปรับ”เขาไม่พูดอะไรอีก เพราะแม้แต่เขาเองยังนึกไม่ถึง ตอนแรกเขาเร่งรีบจะไปรับเสี่ยวหมี่โต้ว แต่พอเธอมาหา เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
ดูท่าทาง พอผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว เขาก็เอาแต่คิดถึงเรื่องของเธอไปหมดเลย
“ไม่ต้องเลี้ยวกลับไปแล้วค่ะ” หานมู่จื่อมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างอ่อนใจ “ฉันขอให้เสี่ยวเหยียนไปรับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนแล้ว ถ้ารอให้คุณนึกขึ้นได้ ฉันคิดว่าเสี่ยวหมี่โต้วคงจะถูกโจรลักพาตัวไปแล้ว”
เย่โม่เซิน “…”
เขายกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไปได้ ถ้าเธอไม่เตือนความจำ เขาคงจะพาเธอตรงกลับวิลล่าไห่เจียง แล้ว… ทิ้งเสี่ยวหมี่โต้วไว้ที่โรงเรียนไปแล้ว
ทางฝั่งเสี่ยวหมี่โต้วที่กำลังนั่งรถกลับบ้านกับเสี่ยวเหยียนจามออกมาทันที เสี่ยวเหยียนรีบหันหน้าไปมอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าเสี่ยวหมี่โต้ว ทำไมถึงได้จามออกมาล่ะ หรือว่าจะไม่สบาย”
พูดจบ เสี่ยวเหยียนก็รีบดึงเสี่ยวหมี่โต้วมากอดไว้ “ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ต่อไปนี้ออกมาข้างนอกต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆแล้วล่ะ”
พอได้ยินแบบนี้ เสี่ยวหมี่โต้วจึงกระพริบตาปริบๆ “น้าเสี่ยวเหยียนครับ ผมไม่หนาวครับ… แค่รู้สึกคันจมูก หรือว่าจะมีคนแอบนินทาเสี่ยวหมี่โต้วอยู่ครับ”
“มีคนนินทาเสี่ยวหมี่โต้วเหรอจ้ะ”เสี่ยวเหยียนแปลกใจเล็กน้อย “ใครจะนินทาเสี่ยวหมี่โต้วล่ะจ้ะ เสี่ยวหมี่โต้วของน้าออกจะน่ารักขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเพื่อนในห้องของหลาน”
“อืม ไม่น่าจะใช่นะครับ”เสี่ยวหมี่โต้วส่ายหน้า ก่อนจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “น้าเสี่ยวเหยียนครับ หม่ามี๊ให้น้ามารับผมจริงๆเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ น้าจะหลอกหลานสุดที่รักของน้าได้ยังไงกัน หรือว่าหลานจะคุ้นชินกับการอยู่กับแด๊ดดี้ของหลาน แล้วไม่อยากจะให้น้ามารับแล้ว”
“ไม่ใช่นะครับ เสี่ยวหมี่โต้แค่รู้สึกคิดถึงหม่ามี๊เองครับ”
เสี่ยวเหยียนลูบศีรษะของเสี่ยวหมี่โต้วอย่างเอ็นดู “เด็กดี หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ของหลานกำลังปลูกความรักกัน รอให้พวกเรารักกันแล้ว หลานก็จะมีทั้งหม่ามี๊และแด๊ดดี้อยู่เคียงข้างนะ ไม่ดีเหรอจ้ะ”
เสี่ยวหมี่โต้ว “จะว่าไปมันก็ถูกครับ”
“ดังนั้น หลานมาช่วยน้าจีบน้าชายของหลานให้ได้ดีกว่า ลูกผู้ชายตัวจริง จะต้องไม่ผิดคำสัญญานะ”