บทที่679 สร้างความเชื่อมั่นให้แก่กัน
“แต่ว่า… น้าเสี่ยวเหยียนจะจีบคุณน้าติดจริงๆเหรอครับ”
คำพูดนี้ หมายความว่ากำลังสงสัยว่าเสี่ยวเหยียนจะจีบไม่ติด เสี่ยวเหยียนมองไปทางเสี่ยวหมี่โต้ว ก่อนจะยื่นมือขึ้นมาหยิกแก้มนุ่มของเด็กน้อยอย่างอดใจไม่ไหว
“พูดแบบนั้นได้ยังไงกัน น้ามีหลานรักช่วยเหลือทั้งคน ขอแค่หลานยอมช่วยเหลือ น้ามั่นใจว่าจะจีบน้าของหลานติดแน่นอน”
เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตาปริบๆ เขามองทุกอย่างออกอย่างชัดเจน
“เอาล่ะ พวกเราใกล้จะถึงบริษัทคุณน้าของหลานแล้ว อย่าลืมช่วยน้าด้วยนะ”
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่เย่โม่เซินได้ยินว่าหานมู่จื่อให้คนไปรับเสี่ยวหมี่โต้วที่โรงเรียนแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลับรถไปรับแล้ว เขาจึงขับรถตรงไปที่วิลล่าไห่เจียงทันที
หลังจากกลับประเทศมา เธอเคยมาที่วิลล่าไห่เจียงแค่ครั้งเดียว
ครั้งนั้นเธอกับเย่โม่เซินยังไม่ได้คบกัน ตอนที่มาที่วิลล่า แค่มารับงานออกแบบตกแต่งภายใน
คิดไม่ถึงเลย… ว่าเวลาจะผ่านไปเร็วถึงขนาดนี้
ตอนกลางคืนสภาพอากาศที่วิลล่าไห่เจียงจะหนาวเย็นเล็กน้อย หานมู่จื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เธอใส่ชุดนอนนั่งมองแสงจันทร์ที่สาดส่องทะเลตรงหน้า แล้วรู้สึกจิตใจสงบมาก
ทะเลตอนกลางคืนสามารถปลอบประโลมอารมณ์ของคนได้ แต่ถ้ามีพายุเข้า คลื่นกระทบฝั่งก็จะดูโหดร้ายและรุนแรงมาก
ลมทะเลพัดเข้ามา ทำให้หานมู่จื่อรู้สึกหนาวเล็กน้อย จึงยกแขนขึ้นมากอดอก แล้วหดตัวกลม
แต่ก็ยังไม่หายหนาว ลมทะเลหนาวกว่าลมในเมืองจริงๆด้วย ตอนที่หานมู่จื่อใกล้จะทนไม่ไหวเตรียมจะเข้าห้อง กลับมีเงาร่างสูงใหญ่เดินมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอาเสื้อคลุมขนาดใหญ่คลุมตัวเธอไว้
หานมู่จื่อเหลือบมอง เย่โม่เซินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จยืนอยู่ข้างๆเธอ ผิวของเขาถูกน้ำร้อนที่อาบน้ำจนตัวแดง ริมฝีปากยังคงเม้มเข้าหากัน และยังมีน้ำหยดลงมาจากเส้นผม
พอเห็นแบบนี้ หานมู่จื่อก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ทำไมคุณถึงไม่เช็ดผมให้แห้งคะ”
ลมแรงขนาดนี้ เขาคิดว่าร่างกายตัวเองทำมาจากเหล็กหรือไงกัน
เย่โม่เซินมองหน้าเธอ ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกาย แล้วพูด “ไม่เป็นไรครับ ผมร่างกายแข็งแรง แต่คุณ… ดึกขนาดนี้ออกมาข้างนอกทำไมถึงไม่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ”
หานมู่จื่อได้ยินแบบนั้นก็หดไหล่ลง “ถ้าฉันหนาวจะเข้าไปในห้องเองค่ะ”
“แต่คุณเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แล้วยัง…”เธอคิดจะลุกขึ้นยืน แต่เย่โม่เซินกลับจับข้อมือของเธอไว้ แล้วดึงหานมู่จื่อเข้ามาในอ้อมกอด
“อื้อ”
การกระทําที่รุนแรง ทำให้หานมู่จื่อพุ่งชนไปที่หน้าอกของเขา จนอุทานออกมาอย่างเจ็บปวด
เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ทำให้ยังมีกลิ่นหอมหลงเหลืออยู่ในร่างกาย อีกทั้งอ้อมกอดของเขาก็อบอุ่นมาก ทำให้ความรู้สึกหนาวก่อนหน้านี้ของหานมู่จื่อหานไปในพริบตา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”หานมู่จื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงถามออกมา
เย่โม่เซินก้มหน้าลงมา แล้วมุดศีรษะลงระหว่างลำคอของเธอ หยดน้ำบนเส้นผมของเขาหยดลงบนลำคอระหงของหานมู่จื่อ ทำให้เธอหนาวจนหดคอหนี ตอนที่กำลังจะผลักเขาออก กลับได้ยินเสียงพูดขอโทษดังออกมา
“ขอโทษครับ”
หานมู่จื่อชะงักค้าง เธอนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
เมื่อตะกี้… เขาบอกว่าขอโทษใช่ไหม
เสียงทุ้มดังออกมาระหว่างบริเวณลำคอระหง ริมฝีปากของเขายังคงกดอยู่ตรงลำคอระหงของเธอ ทำให้เธอได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ดังนั้นหานมู่จื่อจึงต้องแกะคำพูดของเขาใหม่อีกที
“นี่คุณกำลัง… บอกว่าขอโทษฉันอยู่เหรอคะ”เธอถามออกไป ด้วยความรู้สึกไม่น่าเชื่อ
มือใหญ่ของเย่โม่เซินวางลงบนเอวบางของเธอ แล้วโอบเอวเธอไว้ ก่อนจะพูดออกมาเสียงแหบพร่า
“อืม ผมกำลังขอโทษคุณอยู่ ยกโทษให้ผมได้ไหม”
หานมู่จื่อนิ่งคิด “เพราะเรื่องหลายวันมานี้เหรอคะ”
เย่โม่เซินไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่เขากลับกอดเธอแน่นขึ้น หานมู่จื่อรู้สึกได้ว่าเขามีอะไรจะพูดกับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ถามอะไรอีก และปล่อยให้เขากอดไว้เงียบๆ ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นแรง รอฟังในสิ่งที่เขาจะพูด ความเงียบสงบในเวลากลางคืน มีแค่เสียงน้ำทะเลซัดเข้าฝั่ง และเสียงลมหายใจของทั้งสองคน
หลังจากมีอ้อมกอดของเขา หานมู่จื่อจึงไม่รู้สึกหนาวแล้ว ในขณะที่เธอใกล้จะนอนหลับไปในอ้อมกอดของเขา เย่โม่เซินก็พูดขึ้นมา
“จากนี้ไป ผมจะให้ความเชื่อมั่นทั้งหมดกับคุณ”
ทั้งสองคนเดินมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ถ้าหากไม่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่กันและกัน ความรักของพวกเขาคงจะล้มเหลวไปได้ง่ายๆ
“ความเชื่อมั่น… ทั้งหมดอย่างนั้นเหรอคะ”
ความเชื่อมั่นระหว่างเธอกับเย่โม่เซินอย่างนั้นเหรอ ทั้งสองคนยังอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ถ้าหากสามารถทำให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นได้ ความสัมพันธ์ของพวกเธอคงไม่ต้องเดินมาถึงขั้นนี้
เหมือนเมื่อห้าปีก่อน…
“ค่ะ งั้นจากนี้ไป ถคงคุณจะได้ยินเรื่องอะไรมา คุณก็ต้องไม่สงสัยในตัวของฉันเด็ดขาด”หานมู่จื่อนิ่งคิด ก่อนจะทำข้อตกลงกันไว้
เย่โม่เซินพยักหน้ารับ
“จากนี้ไปผมจะให้ความเชื่อมั่นทั้งหมดของผมกับคุณ ถึงแม้ผมจะตายไป ผมก็จะไม่สงสัยในตัวคุณแม้แต่นิดเดียว แต่ว่า…”
เขาเปลี่ยนเสียงพูดให้เข้มขึ้น “คุณต้องอยู่ให้ห่างจากเย่หลิ่นหาน ที่ผมเคยพูดกับคุณบนเครื่องบิน มันเป็นความจริงทั้งหมด”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” หานมู่จื่อพยักหน้ารับ “ฉันจะรักษาระยะห่างกับเขาไว้”
หลังจากรู้ฐานะของเย่หลิ่นหาน รวมถึงอดีตของเย่โม่เซิน หานมู่จื่อรู้สึกว่าถ้าบอกว่าพวกเขาสองพี่น้องไม่มีความแค้นต่อกัน คงจะดูปลอมมาก
การกระทําของเย่โม่เซินเป็นปกติมาตลอด แต่เย่หลิ่นหานกลับ…
เขามีท่าทางเป็นสุภาพบุรุษมาตลอด ถึงแม้เขาจะไม่เคยพูดไม่ดีถึงเย่โม่เซินต่อหน้าเธอ แต่การกระทําของเขา กลับคิดจะแยกเธอกับเย่โม่เซินออกจากกันอยู่ตลอด
แค่นี้ก็ชัดเจนทุกอย่างแล้ว
หานมู่จื่อกลับตาลง และทำการตัดสินใจเงียบๆ เธอไม่อยากเป็นตัวถ่วง และไม่อยากทำให้เย่โม่เซินต้องลำบากใจเพราะเธอด้วย
การต่อสู้ในครั้งนี้ ปล่อยให้พวกเขาสองพี่น้องสู้กันก็พอแล้ว
“ทำไมถึงได้เชื่อฟังจังเลยครับ” เย่โม่เซินคลายอ้อมกอดออก ก่อนจับปลายคางเธอไว้แล้วถาม
หานมู่จื่อหน้าแดงก่ำ กัดริมฝีปากล่างไว้ แล้วถลึงตาใส่เขา
แววตาของเย่โม่เซินลึกซึ้ง ก่อนจะยิ้มกริ่มอย่าเจ้าเล่ห์ “เพราะสามวันมานี้ผมไม่ติดต่อหาคุณ ทำให้คุณพบว่าคุณรักผมมาก ดังนั้นก็เลย…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกหานมู่จื่อขัดขึ้นมาซะก่อน
“คุณอย่าพูดอีกนะ ที่ฉันมาหาคุณก่อน คุณได้ใจมากสินะ”
ชายหนุ่มขยับตัวเข้าใกล้ ก่อนจะเอาหน้าผากชนกับหน้าผากของเธอ แล้วพูดขึ้นมายิ้มๆ
“ผมต้องได้ใจอะไรกัน เป็นใครกันที่มาหาผม พูดไม่กี่คำก็คิดจะถอยหลังให้กันแล้ว ถ้าหากผมไม่รั้งคุณไว้ คุณคงจะหนีไปแล้ว”
หานมู่จื่อ “ใครบอกให้คุณเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเองล่ะ”
“ต่อไปนี้ไม่แล้วครับ…”เย่โม่เซินวางสองมือไว้บนหน้าของเธอ ดวงตาสีนิลเปล่งประกายในยามค่ำคืน เขาขยับหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนรดหน้าหานมู่จื่อ ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย
“จากนี้ไปผมจะเอาความจริงใจทั้งหมดของผมให้กับคุณเพียงคนเดียว”
แววตาที่เร่าร้อนของเขารวมถึงความใกล้ชิดทำให้หานมู่จื่อต้านทานไม่ไหว เธอกระพริบตาปริบๆ คิดอยากจะถอยห่าง แต่จุมพิตอันเร่าร้อนก็พุ่งเข้ามาซะก่อน