บทที่680 ให้เวลาฉันคิดหน่อยนะคะ
นี่คงจะเป็นเพราะว่ารู้ใจซึ่งกันและกันสินะ
หานมู่จื่อคิดในใจ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน ก็คงจะเป็นแบบนี้
หานมู่จื่อหลับตาลง สองมือคล้องคอเย่โม่เซินไว้ แต่กลับถูกเขาจับลงมา แล้วกุมมือกันไว้
วินาทีหลังจากนั้น หานมู่จื่อก็ได้สติกลับมา เธอหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดของเย่โม่เซิน บริเวณนิ้วนางข้างซ้ายรู้สึกถึงความเย็น
หานมู่จื่อยืนตะลึงอยู่ที่เดิม เธอรู้สึกได้ว่ามีวัตถุเย็นๆถูกสวมเข้ามาที่นิ้วนางข้างซ้าย
หลังจากได้สติกลับมา เธอรีบผลักเย่โม่เซินออก แล้วมองลงไปที่นิ้วมือ
พบว่ามีแหวนเพชรเม็ดงามถูกสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย
“คุณ…”
นี่มันอะไรกัน หานมู่จื่อจ้องมองแหวนเพชรเม็ดงามด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะพึมพำถามออกมา
หลังจากที่ถูกผลักออกมา เย่โม่เซินกับจับมืออีกข้างของหานมู่จื่อขึ้นมา แล้วสวมแหวนให้อย่างตั้งอกตั้งใจ
แหวนเพชรเมื่อกระทบกับแสงจันทร์จึงเปล่งประกายอย่างงดงาม
“คุณ… คุณซื้อมาตั้งเเต่เมื่อไหร่คะ”หานมู่จื่อจ้องแหวนเพชรในมือนิ่ง แล้วถามออกมาอย่างอดไม่ไหว
“ชอบไหมครับ”เย่โม่เซินไม่ตอบคำถามเธอ แต่กลับจับมือเธอขึ้นมา แล้วจุมพิตอย่างอ่อนโยน
หานมู่จื่อไม่ได้ตอบว่าชอบหรือไม่ เธอแค่มองสบตากับเขา แล้วถาม “คุณซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
เย่โม่เซินหัวเราะเล็กน้อย “ถามเรื่องนี้ไปทำไมครับ ไม่พอใจกับแหวนเหรอครับ”
หานมู่จื่อส่ายหน้า
เธอไม่ได้ไม่พอใจ แต่เธอแค่สงสัยว่าเขาซื้อแหวนมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะดูจากท่าทางของเย่โม่เซิน เหมือนไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับเธอ
อีกอย่าง ที่เขาให้แหวนหมายความว่า…
“ทำไมคุณ… ถึงให้แหวนกับฉันคะ ฉัน…”
เย่โม่เซินขยับตัวเข้าใกล้ ก่อนจะจับคางของเธอไว้ แล้วพูดเสียงแหบ
“ขอคุณแต่งงานไงครับ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจเหรอ”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็หน้าแดงก่ำ กัดริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น เธอรู้ว่าการให้แหวนคือการขอแต่งงาน แต่ว่า… เขาจะขอเธอแต่งงานง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ไม่มีขั้นตอนอะไรเลยหรือไง
เย่โม่เซินไม่ปล่อยโอกาสให้เธอปฏิเสธ เขาก้มหน้าลง แล้วกระซิบข้างหูเธอ
“คุณจะยอมแต่งงานกับผมไหมครับ”
หานมู่จื่อยืนตะลึงอยู่ที่เดิม
ทั้งที่ตอนบ่าย ทั้งสองคนยังทะเลาะกันอยู่เลย ทั้งที่หลายวันก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนยังทำสงครามเย็นกันอยู่เลย
แต่ตอนกลางคืนเขากลับมาขอเธอแต่งงานเนี่ยนะ
คนคนนี้… จะทำอะไร หานมู่จื่อเดาใจเขาไม่ออกเลย
เธอกระพริบตาปริบๆ ริมฝีปากสีชมพูขยับเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา เย่โม่เซินก็พูดออกมาซะก่อน “ไม่พูดอะไร ผมจะถือว่าคุณตอบตกลงนะครับ”
“อะไรนะคะ”หานมู่จื่อเบิกตาโตอย่างตกใจ “ฉันบอกเมื่อไหร่คะว่าฉันตกลงแล้ว”
“หึ” เย่โม่เซินหัวเราะ “แล้วคุณจะไม่ตกลงเหรอครับ”
หานมู่จื่อ “ฉัน…”
เธอไม่ได้จะไม่ตอบตกลงสักหน่อย เธอถลึงตาใส่คนตรงหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจ “นี่คือการขอแต่งงานของคุณเหรอคะ ทำไมฉันรู้สึกไม่เหมือนขอแต่งงานเลย แต่เหมือนการบังคับให้แต่งงานด้วยมากกว่า”
แววตาของเย่โม่เซินเหมือนนายพรานกำลังล่าเหยื่อ และดูเหมือนจะพึงพอใจและอารมณ์ดีมาก เขาจับคางของหานมู่จื่อขึ้น เพื่อให้สายตาของเธอสบตากับสายตาของเขา
“บังคับให้แต่งงานแล้วยังไงล่ะครับ ผมบังคับคุณไม่ได้หรือไง ถึงวันนี้คุณจะไม่ตกลง ในวันงานแต่งงาน ผมก็จะจับคุณไปที่งานอยู่ดี”
พอต้องเผชิญหน้ากับความเอาแต่ใจของเย่โม่เซิน หานมู่จื่อก็หดตัวลงด้วยท่าทีอ่อนแอ ก่อนจะทำสีหน้าเอียงอาย แล้วบ่นพึมพำออกมา “ใครเขาขอแต่งงานอย่างคุณกัน ไม่พูดอะไรเลย แล้วยังเอาแหวนมาใส่นิ้วคนอื่นเขาแบบนี้”
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็ชะงักไปเล็กน้อย
“นี่เป็นการขอแต่งงานครั้งแรกของผมนี่นา”
หานมู่จื่อชะงักไป เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างกำลังขยับไปมาในหัวใจของเธอ
“นี่คุณ…”
“ผมขอแต่งงานครั้งแรกไม่มีประสบการณ์”
หานมู่จื่อกัดฟัน แล้วถลึงตาใส่เขา “ถ้าคุณมีประสบการณ์ คุณตายแน่”
“ก็นั่นแหละครับ” เย่โม่เซินขยับเข้าใกล้ แล้วมุดหน้าเข้าไปที่ลำคอระหงของเธอ “ไม่ว่าคุณจะตกลงหรืไม่ตกลง งานแต่งงานก็จะจัดขึ้นในเดือนหน้า คุณอย่าลืมสิครับว่าตอนที่เราอยู่ต่างประเทศ คุณตกลงเรื่องนี้แล้ว”
พูดถึงเรื่องตอนที่อยู่ต่างประเทศ หานมู่จื่อก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองถูกหลอกให้ไปที่สนามบิน และยังมีเรื่องคนของตระกูลตวนมู่อีก
ในตอนนั้นเย่โม่เซินพูดกับกับคนของตระกูลตวนมู่ ว่าเธอกับเย่โม่เซินจะจัดงานแต่งงานกันเดือนหน้า
ตอนนั้นหานมู่จื่อคิดว่าเย่โม่เซินแค่พูดเล่น คิดไม่ถึงว่า… เขาจะทำจริง
หานมู่จื่อตกใจเล็กน้อย
“ฉัน ฉันนึกว่าคุณล้อเล่น เพราะว่า…”
เพราะตอนนั้นเธอคิดว่า ที่เย่โม่เซินพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เธอเสียหน้า ก็เลยเล่นละครไปกับเธอด้วย
แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่างานแต่งงานจะจัดขึ้นเดือนหน้า ข่าวที่ได้รู้กะทันหันแบบนี้ ทำให้หานมู่จื่อทำอะไรไม่ถูก เธอยังไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรเลย กลับถูกเขาสวมแหวนให้ซะแล้ว แล้วยัง… จะจัดงานแต่งงานอีก
พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็มองไปทางเย่โม่เซินอย่างกังวลใจ
“ตอนนี้ก็ห่างจากเดือนหน้าไม่มากแล้ว ที่คุณบอกว่าจัดงานแต่งงานนี่มันต้นเดือนหรือว่าปลายเดือนคะ”
พอได้ยินแบบนั้น เย่โม่เซินก็ยักคิ้ว “คุณรีบร้อนมากเหรอครับ”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็หน้าแดงก่ำ กัดฟันกรอด “ใครรีบร้อนกัน ฉันแค่กลัวเวลาจะไม่พอต่างหากล่ะ แล้วอีกอย่าง… ฉันเองก็ยังไม่พร้อมด้วย”
“เราเคยแต่งงานกันไปแล้ว แค่จัดการขึ้นมาเพื่อทดแทนเท่านั้นเอง ต้องเตรียมตัวอะไรอีก หืม”
หานมู่จื่อยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันกะทันหันเกินไป เธอกระแอมเบาๆ “ให้เวลาฉันคิดก่อนก็แล้วกันค่ะ”
พอพูดเสร็จ เธอก็ไม่รอคำตอบจากเย่โม่เซิน รีบผลักเขาออกไป แล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้องทันที
หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว หานมู่จื่อก็ไปค้นหาชุดนอนออกมาเปลี่ยน เพราะชุดก่อนหน้านี้ถูกผมที่เปียกของเย่โม่เซินทำให้ชื้นไปหมดแล้ว ใส่แล้วรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่
ตอนที่หลบอยู่ในห้องอาบน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หานมู่จื่อรู้สึกมือสั่นไปหมด กลัดกระดุมอยู่นานมาก แต่ก็กลัดไม่เข้าสักที เธอพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะกลัดกระดุมอย่างจริงจัง
แต่มือของเธอสั่นมาก จึงกลัดกระดุมไม่ได้เลย
เธอเงยหน้าขึ้นมองหน้าตัวเองในกระจก ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเหม่อลอย เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเขินอายเป็นอย่างมาก
เฮ้อ หานมู่จื่อ ทำไมเธอถึงได้ไม่ได้เรื่องถึงขนาดนี้เนี่ย
เธอด่าทอตัวเองในใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกวักน้ำใส่หน้าตัวเอง แล้วตบหน้าตัวเองเบาๆ
สักพัก สีหน้าที่แดงก่ำของเธอก็ค่อยๆดีขึ้น น้ำเย็นทำให้เธอสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ไม่น้อย หานมู่จื่อลูบใบหน้าตัวเองแล้วมองกระจก
อะไรล่ะ ก็แค่ถูกขอแต่งงานเท่านั้นเอง เธอต้องสงบสติอารมณ์ไว้สิ
เรื่องแค่นี้ เธอเคยเจอมาแล้วนี่นา ถึงจะต้องจัดงานแต่งงาน เธอก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว เพราะว่า… งานแต่งงานก็แค่จัดให้มันผ่านๆไป สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการใช้ชีวิตด้วยกันหลังจากนั้นต่างหากล่ะ
หลังจากปลอบใจตัวเองได้แล้ว หานมู่จื่อก็ก้มหน้าลงไปกลัดกระดุมเสื้อจนเสร็จ แล้วเปิดประตูห้องน้ำเดินออกไป