บทที่ 682 ทำไมลูกถึงเรียนรู้สิ่งที่ไม่ดีล่ะ
ในตอนที่หานมู่จื่อไปถึง เธอก็ยังไม่เห็นเย่โม่เซิน เธออดไม่ได้ที่ถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ไม่ใช่เขาพึ่งบอกว่าเขารอฉันอยู่ที่นี่เหรอ? ทำไมไม่เห็นใครเลยล่ะ?”
สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหารรีบอธิบาย “คุณผู้หญิงคะ คุณชายเย่พึ่งออกไปรับโทรศัพท์ค่ะ เดี๋ยวคุณผู้หญิงนั่งรอก่อนนะคะ”
เธอเดินเข้ามาเลื่อนเก้าอี้ให้หานมู่จื่อด้วยความเคารพนอบน้อม มีความตื่นตระหนกอยู่ในสายตาเพราะเกรงว่าเธอจะทำให้หานมู่จื่อรู้สึกขุ่นเคือง หานมู่จื่อเพียงส่งยิ้มให้เธอ “ขอบคุณ”
สาวใช้ตะลึงไป ใบหน้าขาวรูปไข่ปรากฏอาการขัดเขินออกมา
จริงๆ แล้วเธอคาดไม่ถึงเลยว่า คุณผู้หญิงจะใจดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ อีกทั้งเธอยังสุภาพมากด้วย
สายตาของคุณชายเย่นี้มองคนไม่ผิดเลย
“คุณผู้หญิงจะรับน้ำผลไม้สักแก้วในมื้อเช้าไหมคะ”
“ได้สิ ขอบใจจ๊ะ”
หลังจากที่เทน้ำผลไม้มาให้แล้ว หานมู่จื่อก็จิบไปคำเล็กๆ ความจริงแล้วของแบบนี้ไม่ได้รสชาติดีเป็นพิเศษ แน่นอนว่าสำหรับคนที่ชอบรสชาติแบบนี้คงจะพูดไม่เหมือนกัน สำหรับหานมู่จื่อแล้ว เธอไม่ชอบรสชาติแบบนี้เลย
แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เธอไม่ใช่คนเรื่องมากในการกิน แม้ว่าเธอจะไม่ชอบมันเธอก็ยังดื่มมันลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว
จังหวะที่เย่โม่เซินกลับมาจากคุยโทรศัพท์ เมื่อเห็นว่าหานมู่จื่อนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร เขาก็ตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างเธอ
สาวใช้คนอื่นๆ มองมาอย่างจิตใจไม่อยู่สุข ก่อนจะพากันถอยห่างออกไป
“ไม่ใช่วันหยุดเหรอ? คุณยังมีงานอีกงั้นเหรอ?” หานมู่จื่อมองไปที่โทรศัพท์ในมือของเขาก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
เย่โม่เซินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่นัยน์ตาดำสนิทของเขาจะเลี่ยงการสบสายตากับเธอตรงๆ เขาเม้มปากแน่นก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่เรื่องงาน”
ไม่ใช่เรื่องงาน?
หานมู่จื่อกะพริบตา “งั้นใครโทรมากัน?”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น หานมู่จื่อก็โชว์มือตัวเองต่อหน้าเย่โม่เซิน แสดงให้เห็นแหวนเพรชที่สวมอยู่ในนิ้วเรียวสวยขาวผ่องของเธอ
“คุณขอฉันแต่งงานแล้ว แม้ว่าจะไม่มีความบริสุทธิ์ใจ แต่ว่า….. ฉันก็ควรที่จะได้รู้ในสิ่งที่ฉันอยากรู้นะ”
เย่โม่เซินเอนตัวเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ หานมู่จื่อหน้าแดงขึ้นมาในทันที “คุณว่าไงนะ?”
“ไม่เต็มใจ?”
หานมู่จื่อกัดปากล่างเอาไว้แน่น มองไปที่เย่โม่เซินที่อยู่ตรงหน้า
“คุณไม่ได้กำลังล้อเล่นอะไรจริงๆ ใช่ไหม?”
ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา จากเดิมทีที่มีรอยยิ้มอยู่ในดวงตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นท่าทางเย็นชาและเคร่งขรึมในทันที พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“ผมดูเหมือนล้อเล่นอย่างงั้นเหรอ?”
หานมู่จื่อ “…….ไม่เหมือน”
“เด็กดี”
เย่โม่เซินบีบจมูกเล็กของเธอก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “จำสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไปได้ไหม? หื้อ?”
หานมู่จื่อแตะจมูกที่ถูกเย่โม่เซินบีบ กะพริบตาอย่างขัดเขิน ถ้าเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งพูด เรื่องของพี่หานชิง
หานชิง พี่ชาย…. จะขับไล่เธอออกจากตระกูลหานหรือเปล่า?
อืม นี้เป็นปัญหาที่ต้องสืบสาวราวเรื่อง
หลังจากที่ทานมื้อเช้าไปแล้ว ทั้งคู่ก็แยกกัน หานมู่จื่อนั่งเหม่ออยู่ในห้อง ในขณะที่คิดหาเหตุผลที่เป็นได้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็โทรเข้ามา
“ฮัลโหล?”
หานมู่จื่อกดรับสาย ในโทรศัพท์มีเสียงของเสี่ยวหมี่โต้วดังตอบกลับมา
“หม่ามี๊~”
“เสี่ยวหมี่โต้ว?” เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหมี่โต้ว หานมู่จื่อก็รู้สึกประหลาดใจ “ทำไมลูกตื่นเช้าจังเลยล่ะ? วันนี้วันหยุด ไม่ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ครับ!” เสียงของเสี่ยวหมี่โต้วตอบกลับมาอย่างตื่นเต้น
“หม่ามี๊อยู่ด้วยกันกับคนนั้นหรือเปล่าครับ?”
คนนั้น?
ในตอนแรกหานมู่จื่อคิดไม่ออกว่าคนนั้นของเสี่ยวหมี่โต้วคือใคร ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พอจะนึกอะไรออก เสี่ยวหมี่โต้วไม่เต็มใจจะเรียกเย่โม่เซินว่าแด๊ดดี๊ ดังนั้นจึงไม่เอ่ยเรียกเขา คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใช้คำว่าคนนั้นมาอธิบายถึงเย่โม่เซิน
เธอถอนหายใจออกมา “หม่ามี๊บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าเขาคือแด๊ดดี๊? ทำไมลูกถึงเรียกว่าคนนั้นล่ะ? อย่างนี้มันดูไม่มีมารยาทไม่ใช่เหรอครับ?”
เสี่ยวหมี่โต้วตะโกนกลับมา “ผมจะไม่มีทางเรียกเขาว่าแด๊ดดี๊”
“เกียรติล่ะ? ไม่ให้เกียรติ?”
เสี่ยวหมี่โต้วเป็นเด็กที่มีมารยาทดีมาก ไม่ว่ากับใครก็เขาก็เรียกอย่างให้เกียรติ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่โม่เซิน….. กลับใช้คำว่าคนนั้นเรียกแทน
“หึ เขาไม่สมควรที่เสี่ยวหมี่โต้วจะให้เกียรติด้วยหรอก”
เมื่อได้ฟังอย่างนั้น หานมู่จื่อก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “นี้ใครเป็นคนสอนเนี่ย? ไม่กี่วันนี้เขาไม่ได้ไปหาลูกตลอด? ก็จะไม่ให้เกียรติเขาแล้ว?”
“หึ เขารังแกหม่ามี๊ ทำไมเสี่ยวหมี่โต้วต้องไปให้เกียรติเขา หม่ามี๊…. ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเขาเลย เขาทำอะไรไว้กับหม๊ามี๊ก่อนหน้านี้ หม่ามี๊ลืมมันไปหมดแล้วเหรอ?”
หานมู่จื่อ “……….แล้วก่อนหน้าเขาทำอะไรหม่ามี๊เหรอ?”
“หม่ามี๊ลืมไปหมดแล้วเหรอ?”
“ที่หม่ามี๊หมายถึงคือลูกรู้ได้ยังไง?” แต่ไหนแต่ไรหานมู่จื่อไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้เสี่ยวหมี่โต้วฟังเลย อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย แม้แต่จะพูดถึงแด๊ดดี๊ก็ไม่ค่อยพูดถึงด้วยซ้ำ
ดังนั้น เสี่ยวหมี่โต้วจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งพบเย่โม่เซินไม่กี่วัน เขาจะไปรู้อะไรมากมายได้ยังไง?
ด้านเสี่ยวหมี่โต้วที่ถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้ เมื่อได้ยินสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเม้มปากเอาไว้แน่น “หึ หม่ามี๊ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะรู้ได้ยังไง ที่เสี่ยวหมี่โต้วรู้ก็คือว่าเขาเป็นคนเลว!”
เมื่อได้ยินท่าทีหยิ่งผยองของเสี่ยวหมี่โต้ว หานมู่จื่อก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก เสี่ยวหมี่โต้วพึ่งอายุไม่กี่ขวบ การที่จู่ๆ จะรู้เรื่องราวพวกนี้ ดูท่าคงเป็นเสี่ยวเหยียนที่บอกเขา
เขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจตัวเอง เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต่อสู้เพื่อตัวเอง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็พูดเสียงเบา “โอเคครับ ลูกยังเด็กไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ใหญ่หรอกนะ ตอนนี้ลูกยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก ไว้รอลูกโตขึ้นแม่จะอธิบายให้ฟังเองโอเคไหมครับ?”
เสี่ยวหมี่โต้วตอบกลับออกมาเสียงแข็ง “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมก็จะรู้เอง”
หานมู่จื่อทำอะไรไม่ถูก อยากจะลูบหัวของเสี่ยวหมี่โต้วแทนเพื่อช่วยให้เขาสงบลง ทว่า….. ตอนนี้ทำได้แค่ฟังเสียงเขาผ่านโทรศัพท์ ดังนั้นจึงได้แต่พูดออกไปอย่างนิ่มๆ
“เสี่ยวหมี่โต้ว ทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงโทรหาหม่ามี๊ล่ะครับ? ให้หม่ามี๊ไปรับดีไหม?”
“หม่ามี๊ ไม่ต้องเลย คุณลุงเรียกให้เรากลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน”
คุณลุง……
หานชิง….. ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เรียกตัวเธอกับเสี่ยวหมี่โต้วกลับไปทานข้าวที่บ้านกันล่ะ?
ปกติเวลาที่เขาต้องการจะคุยกับเธอ ก็จะไปหาเธอที่บ้านโดยตรง แล้วทำไม…..
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หานมู่จื่อเผลอมองไปที่แหวนเพรชโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงเลยว่าหานชิงจะรู้เรื่องนี้แล้ว? เสี่ยวเหยียนเป็นคนบอกงั้นเหรอ?
ไม่ใช่ เสี่ยวเหยียนไม่ใช่คนอย่างนั้น
งั้น…… เป็นเสี่ยวหมี่โต้วเผลอพูดออกไปงั้นเหรอ?
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ ก็ไอออกมาเบาๆ อย่างรู้สึกผิด
“กลับไปกินข้าวที่บ้าน งั้นคุณลุงบอกอะไรกับลูกอีกไหมจ๊ะ? หรือว่า…. ลูกได้บอกอะไรกับคุณลุงไหม?”
“หึ” เสี่ยวหมี่โต้วเค้นเสียงออกมา “หม่ามี๊รีบมารับผมเลย หม่ามี๊มารับเสี่ยวหมี่โต้ว เสี่ยวหมีโต้วถึงจะบอก~”
หานมู่จื่อ “เจ้าเด็กดื้อ เอาเวลาไหนไปเรียนรู้สิ่งไม่ดีแบบนี้กัน?”
ช่างเถอะ ไม่ว่าช้าเร็วยังไงหานชิงก็ต้องรู้เรื่องนี้ ถึงหานชิงจะไม่เรียกเธอกลับไปทานข้าว เธอก็ต้องกลับไปอยู่แล้ว
“โอเคครับ งั้นลูกก็เป็นเด็กดีรอหม่ามี๊อยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวหม่ามี๊จะไปรับ”