บทที่ 687 ไม่อยากยอมแพ้
ในวินาทีถัดมาเธอก็เห็นรอยยิ้มเย็นเยียบที่ปรากฏบนใบหน้าของหานชิงเพียงครู่ ดู่เหมือนพี่จะตกใจเล็กน้อย
ปฏิกิริยาเช่นนี้เหมือนจะเป็นไปตามคาดของมู่จื่อ เธอจึงกัดริมฝีปากล่างของเธอพร้อมกับหลุบสายตาลงต่ำ ก่อนจะถามราวเสียงกระซิบ “พี่ พี่รู้ใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?”
เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของหานชิงจึงหายไปหมดสิ้น และมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา
“หมายความว่ายังไง?”
ทั้งๆที่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้กลับยอมเบกหน้ามาถามเธอว่าหมายถึงอะไร มู่จื่อเงยหน้าขึ้นมองหานชิงก่อนจะทันเห็นประกายภายในดวงตาคู่นั้น นั่นคือ…..ความรู้สึกโกรธ
ถ้าเธอยังคงพูดอะไรบางอย่างต่อไป
“ฉันจะจดทะเบียนกับเย่โม่เซิน”
มู่จื่อพูดอย่างตรงไปตรงมา
แววตาแสนอันตรายปรากฏอยู่บนดวงตาของหานชิง “รู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”
“รู้ค่ะ” หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปที่หานชิง “ฉันพูดไปแล้ว และฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงมัน พี่ ฉันโตแล้วนะ และฉันมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจในเรื่องของตัวเอง”
“เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง จะโทษว่าพี่ชายคนนี้จุ้นจ้านเรื่องเธอมากไปเหรอ? หรือจะบอกว่าต่อจากนี้ไม่ต้องให้พี่ยื่นมือไปวุ่นวายเรื่องเธองั้นเหรอ?” หานชิงพูดพร้อมกับเหยียดยิ้มที่ริมฝีปากราวกับเยาะเย้ยตัวเอง
หานมู่จื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่เห็นค่าในตัวเองจนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธอหลุบตาลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแสนเบา
“พี่ ฉันรู้ว่าพี่หวังดีกับฉันมาตลอด แต่…..”
“พี่จะถามเธอประโยคเดียว เธอลืมเรื่องที่เขาทำร้ายเธอก่อนหน้านี้ไปหมดแล้วเหรอ?”
หานมู่จื่อ: “……”
ไม่ได้ลืม จะลืมไปได้ยังไง?
ความทรงจำบางอย่างถูกตรึงไว้ข้างในและจะไม่มีทางถูกลบไปจากชีวิต
“หลายสิ่งหลายอย่างมีเหตุและผลของมันเอง ฉันก็ทำบางอย่างที่ทำให้เขาเสียใจและมันก็หักล้างกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าหานชิงก็เปลี่ยนไป
“หักล้างกันงั้นเหรอ? น้องสาวของตระกูลหานโกหกเก่งขนาดนี้เลยเหรอ? ก่อนจะกลับประเทศเธอพูดว่ายังไงบ้าง? แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“พี่!” มู่จื่อขึ้นเสียงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว “นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก นี่เป็นการตัดสินใจของฉันเอง”
“แล้ว? วันนี้เธอไม่ได้มาปรึกษาพี่ แต่มาเพื่อจะแจ้งพี่เฉยๆ ถูกไหม?”
หาน มู่จื่อ: “……”
เธอจะตอบเรื่องนี้อย่างไรดี? ความจริงเธออยากจะอยู่กับเย่โม่เซินตลอดไปและก็อยากจะจดทะเบียนด้วย
แต่ว่าเธอรู้สึกว่าเธอควรบอกหานชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“มันคือการปรึกษา” เธอก้มหน้า “แต่…ถ้าพี่ไม่เห็นด้วย ฉันก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ”
แววตาของหานชิงดูน่ากลัว และทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นแหวนเพชรบนนิ้วของมู่จื่อพอดี
เพราะงั้นแววตาของหานชิงจึงดูน่ากลัวขึ้นไปอีก หานชิงเดินเข้าไปประชิดก่อนจะจับมือของน้องสาวเพื่อดูให้แน่ชัดว่ามันเป็นแหวนเพชรจริงๆ
ทำไมตอนทานอาหารด้วยกันเขาถึงไม่สังเกตเห็นกันนะ?
แต่พอนึกขึ้นมาตอนนี้ ตอนที่ทานอาหารด้วยกันหานมู่จื่อจงใจซ่อนมือไว้ใต้โต๊ะเพราะกลัวว่าพี่ชายอย่างเขาจะเห็นแหวนเพชรเข้า
เหอะ!
อย่างนี้นี่เอง!!!
“พี่?” มู่จื่อรู้สึกเจ็บข้อมือที่โดนหานชิงบีบไว้อยู่ เธอขมวดคิ้วมุ่น “พี่ปล่อยฉันก่อน พี่ทำฉันเจ็บนะ”
“เธอรู้สึกเจ็บด้วยเหรอ? ห้าปีก่อนที่โดนมันทำร้ายเธอลืมมันหมดแล้วเหรอมู่จื่อ?”
“พี่” มู่จื่อพยายามดึงข้อมือออก “พี่ต้องปล่อยฉันก่อน แล้วฉันจะอธิบายให้พี่เข้าใจเอง”
หานชิงมองเธอด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ช่างเถอะ”
หานชิงปล่อยมือออกจากมู่จื่อทันที ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว ไม่สนใจเธอและไม่หันมามองที่เธออีก
“พี่จะไม่ให้ทะเบียนบ้านกับเธอ เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้แล้ว”
หานมู่จื่อ: “…..พี่?”
“ถ้าเธอยังเห็นว่าพี่เป็นพี่ชายอยู่ ถือซะว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กลับ”
“แต่จริงๆแล้วฉันมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้นะ ฉัน……”
“นี่” หานชิงยิ้มขมขื่น “พี่คิดว่าเธอกลับมาทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่ไม่คิดเลยว่าเธอกลับมาเพื่อจะมาเอาทะเบียนบ้าน…..เธอเป็นน้องสาวที่ดีจริงๆ”
“พี่”
พูดถึงตรงนี้แล้วหานมู่จื่อก็ยิ่งรู้สึกพูดไม่ถูก
ถ้าเธอต้องการเอาทะเบียนบ้านวันนี้แล้ว หานชิงคงจะโกรธน้องสาวอย่างเธอมาก
ยิ่งไปกว่านั้นหากเธอดื้อดึงจะเอาทะเบียนบ้าน อาจจะทำให้หานชิงก่ออันตรายได้
สุดท้ายแล้ว…..เธอจะดื้อดึงต่อไปดีหรือไม่?
หรือ….วันนี้จะพอแค่นี้ก่อน? ค่อยมาอีกทีวันหลัง?
“พี่ไม่ให้ทะเบียนบ้านฉันก็ไม่เป็นไร วันนี้ฉันจะกลับไปก่อน แล้วฉันจะมาใหม่วันหลัง”
หลังจากพูดจบหานมู่จื่อก็หันหลังและเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ
หลังจากหานมู่จื่อออกจากห้องอ่านหนังสือไป หานชิงก็หันกลับไปมองยังทิศทางที่เธอเดินออกไปอย่างคนครุ่นคิด
หลังจากหานมู่จื่อเดินลงไปข้างล่าง เธอก็พบว่าเสี่ยวเหยียนและหมี่โต้วต่างก็กำลังรอเธออยู่ที่ชั้นล่าง หลังจากเพิ่งถูกหานชิงดุมาเธอก็รู้สึกว่าตัวเองดูอาการเศร้าหมองไปหน่อย
เธอกะแอมเบาๆก่อนที่หานมู่จื่อจะเดินอย่างใจเย็น
เสี่ยวเหยียนสังเกตสีหน้าของเธออย่างเงียบๆ: “เป็นอะไรรึเปล่า? ทะเลาะกับพี่มาเหรอ?”
“ไม่มีอะไร” หานมู่จื่อส่ายหัว “เย็นนี้พวกเราไม่ได้กินข้าวที่นี่กันนะ กลับกันก่อนเถอะ”
เสี่ยวเหยียนได้ยินดังนั้น พลันใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นขมขื่น “ไม่ได้รึเปล่า? ไม่ได้มาตั้งนานแล้วทำไมต้องกลับไปด้วยล่ะ? ทั้งฉันและพี่ชายเธอก็เข้ากันได้ดี…..”
“หรือ….จะทิ้งให้เสี่ยวหมี่โต้วอยู่ที่นี่ แล้วเธอก็อยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขา?”
“ฉันโอเค!”
ดังนั้นแล้วหลังจากที่ทั้งสองคุยกัน เสี่ยวเหยียนจึงพาเสี่ยวหมี่โต้วพักที่บ้านของตระกูลหาน ส่วนหานมู่จื่อก็ขอตัวออกไปก่อน
เธอไม่ได้ขับรถมา และไม่มีคนขับรถไปส่งเธอเช่นเดียวกัน
ดังนั้นหลังจากออกมาจากที่บ้านแล้ว หานมู่จื่อก็เดินเตร็ดเตร่คนเดียวตรงถนนพร้อมทั้งใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อจะเรียกรถทว่ากลับไม่มีรถคันไหนกดรับเธอเลย
ความคิดของเธอตอนนี้วนอยู่ที่ทะเบียนบ้าน พอหานชิงไม่เห็นด้วยแล้วเธอจะโน้มน้าวเขาอย่างไรดี?
สุดท้ายแล้วเธอก็เอาแต่ใจกับพี่ชายมากไม่ได้ เธอไม่สามารถทำร้ายเขาหรือโกรธเขาได้เลย แต่ตอนนี้หานชิงโกรธมาเมื่อเธอพูดถึงเรื่องทะเบียนบ้าน และถ้าเธอยังจะพูดต่อไปอีก ก็เกรงว่า…..
พอคิดถึงตรงนี้หานมู่จื่อก็ปวดหัว จึงยื่นมือออกไปนวดขมับตัวเอง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะจัดการได้จริงๆ
พี่ชายของเธอไม่เต็มใจยอมรับเย่โม่เซิน แล้วปลายทางของปัญหายังคงให้เย่โม่เซินอยู่ข้างๆ หรือต้องให้เย่โม่เซินไปหาหานชิงถึงจะอธิบายปัญหานี้ได้?
แต่ว่า……..
ในขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่โทรศัพท์มือถือของหานมู่จื่อก็สั่นขึ้น
เธอก้มลงมองมือถือก่อนจะตระหนักได้ว่านั่นคือเสียงเรียกเข้าเฉพาะของเย่โม่เซิน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งหานมู่จื่อก็รับสายนั้นเข้า
“ฮัลโหล?”
“คิดอะไรอยู่เหรอทำไมดูแปลกๆ?”
หานมู่จื่อ “หือ?”
ฉับพลันหลังจบประโยคนั้นหานมู่จื่อก็สะดุ้งตกใจ
“ก็เธอเดินวนไปวนมาจะสิบนาทีแล้ว เธออยากจะเดินกลับไปที่วิลล่าไห่เจียงแบบนี้เหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นหานมู่จื่อจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะมองไปยังข้างหน้า แต่เธอกลับไม่เห็นแม้แต่เงาใคร และในขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากปลายสายในโทรศัพท์มือถือ
“หันหลังมา”
หานมู่จื่อหันกลับไปก่อนจะเห็นรถยนต์ที่คุ้นเคยอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังเธอภายใต้พระอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงมา