บทที่694 โง่หรือไง
การประชุมที่ได้ประชุมกันมาอย่างยาวนานนี้ ในตอนที่การประชุมได้สิ้นสุดลง ทุกคนต่างก็เก็บของเตรียมที่จะออกไปจากห้องประชุมกันทันที
เซียวซู่ได้อดทนมาหลายชั่วโมง มีหลายครั้งที่มองใบหน้าเคร่งขรึมของเย่โม่เซินแล้วแทบจะเข้าไปข้างๆแล้วกระซิบบอกเขาว่าคุณนายน้อยมา ตอนนี้กำลังรอคุณชายเย่อยู่ที่ห้องทำงานนะ
แต่พอนึกถึงที่หานมู่จื่อได้กำชับมาว่าไม่ให้เขาบอกคุณชายเย่ว่าเธอมา เซียวซู่จึงจำต้องเก็บกลั้นความคิดนี้กลับไปอีกครั้ง
ดังนั้นทันทีที่การประชุมสิ้นสุดลง เซียวซู่จึงโน้มเข้าไปกระซิบเสียงเบาข้างๆร่างของเย่โม่เซินทันที
“คุณชายเย่ครับ”
สายตาของเย่โม่เซินยังคงจดจ้องอยู่กับเอกสาร ริมฝีปากบางขยับออกมาเล็กน้อย “ว่า”
“คุณนายน้อย…”
ทันทีที่พูดสามคำนั้นออกไป นิ้วมือของเย่โม่เซินก็ได้ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้เงยหน้าหันกลับมามองหน้าเขาทันที
แววตาดุดันนั้นทำเอาเซียวซู่สะดุ้งตกใจ เซถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว “คุณ คุณชายเย่…”
“นายจะพูดอะไร?”
เย่โม่เซินมองเขา เมื่อกี้นี้เขาได้ยินเต็มหูว่าเซียวซู่พูดคำว่าคุณนายน้อยออกมา
เขาไม่คิดว่าตัวเขาจะฟังผิดไป
“…คุณชายเย่ ผมแค่อยากจะบอกว่าคุณนายน้อยมาครับ ตอนนี้กำลังรอคุณอยู่ที่ห้องทำงานครับ”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกไป เย่โม่เซินที่อยู่ข้างหน้าก็พรวดพราดลุกขึ้น ข้าวของก็ไม่ได้เก็บไปด้วย เดินมุ่งออกไปทางด้านนอกห้องประชุมทันที
เฮ้ย ไม่น่าคุณนายน้อยถึงไม่ให้เขาบอก ท่าทางอย่างนี้ของคุณชายเย่นั้นช่างหุนหันเสียจริง!
เซียวซู่รีบสาวเท้าเดินตามไป “คุณชายเย่ คุณชายเย่ครับ”
เย่โม่เซินหยุดฝีก้าวลงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
“คุณชายเย่ ผมแค่อยากจะบอกว่า คุณนายน้อยมาตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อนหน้าแล้วครับ เพียงแต่เธอได้กำชับผมเอาไว้ว่าไม่ต้องบอกคุณ ปล่อยให้คุณประชุมไป”
ในตอนแรกเย่โม่เซินยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วคิดกลุ้มออกมา แต่เพียงไม่นานคิ้วของเขาก็ได้ค่อยๆคลายลง ราวกับว่าคิดอะไรออกขึ้นมา ไล้ปลายลิ้นไปทั่วกรอบฟันที่เรียงสวย แววตานิ่งขรึมลงหลายส่วน
“ฉันรู้แล้ว นายก็จัดการเก็บของที่นี่หน่อยแล้วกัน”
พูดจบ เย่โม่เซินก็ออกไปจากห้องประชุมแห่งนี้ทันที
เซียวซู่ก็ไปจัดเก็บของอย่างยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง ใครใช้ให้เขาเป็นผู้ช่วยของเย่โม่เซินกันล่ะ?
เย่โม่เซินก้าวเท้าเดินกลับไปยังห้องทำงานไม่หยุด เมื่อผลักประตูออกไปกลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า มีร่างของหานมู่จื่อที่ไหนกัน?
สายตาของเขากวาดมองออกไปรอบๆ พบว่าประตูห้องพักกำลังปิดไม่สนิท
ดังนั้นแล้วเขาจึงเดินไปตรงนั้น ในตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูห้องพักแล้วนั้น จิตใต้สำนึกของเย่โม่เซินก็ได้บอกให้เบาฝีเท้าของตัวเองลง
หลังจากที่ผลักประตูห้องพักเข้าไปแล้ว ก็ได้เจอเงาร่างที่กำลังนึกถึงอยู่อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
หานมู่จื่อกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพักแห่งนี้ ผมดำสลวยนั้นคาดว่าน่าจะเป็นเพราะว่านอนหลับไปจึงได้กลายมายุ่งเหยิงขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าสวยเป็นธรรมชาตินั้นคลุมผ้าห่มปิดไปเพียงครึ่งนึงเท่านั้น
เย่โม่เซินมองอยู่สักพักนึง จากนั้นก็ย่องเข้าไป โน้มตัวลงไปช่วยห่มผ้าให้เธอ
หลังจากที่ห่มผ้าเสร็จ เย่โม่เซินกลับไม่ได้ดึงร่างของตัวเองกลับไป เขาจ้องมองใบหน้าสวยที่กำลังหลับใหลของหญิงสาว นึกถึงสิ่งที่เซียวซู่บอกเขาเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือเข้าไปลูบแก้มของเธอเบาๆ การกระทำของเขาดำเนินไปด้วยความอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
“ยัยโง่ จำเป็นต้องให้คุณมาคิดแทนผมหรือไง? มาแล้วก็บอกผมสิ มานอนคนเดียวในห้องนี้ตั้งนาน โง่หรือไง?”
เย่โม่เซินรู้ว่าคำพูดพวกนั้นเป็นสิ่งที่เขาพูดอยู่กับตัวเอง เพราะยังไงตอนนี้หานมู่จื่อก็กำลังนอนหลับอยู่ คงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไปแน่ๆ
แต่ใครจะรู้ว่าเพียงไม่นาน หานมู่จื่อที่เคยแสดงสีหน้าสงบนิ่งออกมานั้นกลับเปลี่ยนไปทันใด สีหน้าของเธอราวกับว่าจะมีความเจ็บปวดเผยออกมาเล็กน้อย คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากันแน่น
เย่โม่เซินรับรู้ได้ถึงความผิดแปลกไป พยายามมองอย่างละเอียด จนได้พบว่าบนหน้าผากขาวเนียนของเธอนั้นได้เต็มไปด้วยเหงื่อเป็นที่เรียบร้อย
เป็นอะไรไป?
เย่โม่เซินร้องเรียกชื่อเธอออกไปตามจิตใต้สำนึก “ มู่จื่อ?”
แต่อย่างไรหานมู่จื่อก็ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของเขาเลย การสูดหายใจก็ยิ่งถี่มากขึ้น ท่าทางเหมือนกับว่ากำลังฝันร้ายไม่มีผิด
เย่โม่เซินเห็นท่าทางอย่างนั้นของเธอ ชายแกร่งอย่างเขานั้นก็ร้อนใจทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าจะเอามือไปไว้ตรงไหนดี ทั้งยังไม่กล้าเรียกปลุกเธอแบบไม่มีปีมีขลุ่ย ทำได้เพียงกระซิบชื่อเธอออกมาไม่หยุด
ในตอนที่ไม่รู้ว่าเย่โม่เซินร้องเรียกไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จู่ๆหานมู่จื่อก็ได้ลืมตาขึ้นมา ในตอนที่เห็นใบหน้าหล่อเข้ามาใกล้อย่างมาก ก็ได้ร้องตกใจเสียงดังออกมาทันที
“ไม่ต้องกลัว!”
เย่โม่เซินรีบเข้าไปโอบไหล่ของเธอเอาไว้แน่น เอ่ยกระซิบเสียงเบาออกไป “ผมเอง ผมเอง”
หานมู่จื่อ “…”
เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยดังขึ้นมาข้างๆหู เหมือนราวกับว่ากำลังปลอบโยนเธออยู่ หานมู่จื่อตกใจช็อกนิ่งอยู่นาน ในหัวยังคงคิดถึงภาพอันน่ากลัวเมื่อสักครู่เหล่านั้น
หัวใจเต้นแรง การหายใจก็ไม่มั่นคง สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือหนังตาของเธอกระตุกออกมาอย่างแรง
คิดอยู่เสมอว่ามันจะมีลางสังหรณ์ที่ไม่อาจทราบได้บางอย่างเกิดขึ้น
หรือจะเป็นเพราะคำสาปแช่งพวกนั้นที่เมิ่งเส่โยวสาปแช่งเธอออกมาเมื่อก่อนหน้านี้กัน?
“เป็นอะไรไป?”
เมื่อเห็นเธอสงบลงแล้ว เย่โม่เซินก็เอื้อมมือออกไปลูบเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เธอด้วยความรักใคร่เอ็นดู เมื่อเห็นว่าแม้แต่ตรงบริเวณปลายจมูกของเธอก็ยังมีเหงื่อออกมาเหมือนกัน จึงถือโอกาสนั้นก้มหน้าลงแล้วใช้ริมฝีปากบางของตนประกบลงไปทันที
หานมู่จื่อเรียกคืนสติกลับมา จิตใต้สำนึกบอกให้เธอหลบริมฝีปากเขาไป
ปกติที่ซับน้ำตาของเธอก็ทีนึงแล้ว แต่มาตอนนี้นึกไม่ถึงเลยว่าเขายังคิดจะมาจูบซับเหงื่อเธออีก ภายในใจของเธอนั้นยอมรับไม่ได้จริงๆ
หานมู่จื่อหลบไปอีกฝั่งนึง เย่โม่เซินก็ถือโอกาสใช้มือข้างนึงกดท้ายทอยของเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างนึงก็จับแก้มนุ่มนิ่มของเธอ ไม่ปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้เพียงครึ่งนิ้ว
“อย่า…” หานมู่จื่อหลบไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงพยายามใช้คำพูดมาหยุดยั้งเขาเอาไว้
ผลสุดท้ายเย่โม่เซินก็คล้ายกับว่าไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น ค่อยๆเข้ามาจูบซับเหงื่อให้เธอทีละนิดๆ แววตาในดวงตาดำสนิทคู่นั้นค่อยๆลึกซึ้งขึ้นมา จากนั้นในตอนที่เขาถอนร่างกลับไปแล้วเห็นใบหน้าของหานมู่จื่อแสดงอาการรังเกียจเขาออกมา ก็อดไม่ได้หลุดขำเบาๆออกมา
“หลบอะไร? ผมไม่เห็นจะรังเกียจคุณเลย”
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากของตัวเอง “ฉันรังเกียจตัวฉันเอง”
“ฝันร้ายใช่มั้ย?” เย่โม่เซินแนบตัวเข้าไป กดหน้าผากเข้ากับเธอพร้อมเอ่ยถามออกไป
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องฝันร้ายนี้ขึ้นมา หานมู่จื่อก็ยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่ในใจ ดังนั้นจึงพยักหน้าออกไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เอื้อมมือเข้าไปโอบกอดเอวสอบของเย่โม่เซินเอาไว้ทันที
“ความฝันมันค่อนข้างน่ากลัว ฉันยัง…สงบอารมณ์ไม่ได้ ขอฉันซบหน่อยนะคะ” เธอซุกหน้าลงไปในอ้อมกอดของเย่โม่เซิน เอ่ยออกไปด้วยความหดหู่ใจ
เย่โม่เซินโอบไหล่ของเธอเอาไว้ เอ่ยออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำออกไปว่า “ได้สิ อยากซบนานแค่ไหนก็ซบเลย”
จากนั้นก็ก้มหน้าลง พร้อมประทับริมฝีปากลงไปบนศีรษะของเธอ “ฝันเห็นอะไร? บอกผมหน่อย?”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย ไม่มีเสียงพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำพวกนั้นขึ้นมาอีก
“ไม่อยากพูด งั้นก็ไม่ต้องคิดแล้ว นอนมาตลอดทั้งเช้าแล้ว หิวหรือเปล่า? เดี๋ยวผมจะพาคุณไปกินมื้อเที่ยง?”
หานมู่จื่อที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา มัวแต่คิดว่าตัวเองยังง่วงอยู่อีกหน่อย ในตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั้นหนังตาเธอกระตุกออกมาอย่างแรง แต่ตอนนี้…กลับดีขึ้นมากแล้ว
“รู้สึกง่วงนิดหน่อย ไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่ค่ะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบลง ทันใดนั้นเองหานมู่จื่อก็รู้สึกว่าตัวเองดูแสดงอารมณ์มากจนเกินไปแล้ว ทำไมรู้สึกเหมือนราวกับว่าเธอกำลังออดอ้อนเย่โม่เซินอยู่ยังไงอย่างนั้น?
เธอโตขนาดนี้แล้ว ทั้งยังเป็นแม่คนแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะ…
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว หานมู่จื่อก็เกิดอาการกระดากอายขึ้นมาเล็กน้อย อยากแสร้งทำเป็นเหมือนกับว่าเมื่อกี้นี้ตนไม่ได้พูดอะไรออกไปจริงๆ
“ไม่กินไม่ได้ ถ้าหิวจะทำยังไง? อาหารสามมื้อต้องกินให้ตรงเวลานะ คุณไม่อยากออกไป งั้นพวกเราก็สั่งข้าวกันเอามั้ย?”
พูดออกมาอย่างนั้นแล้ว เย่โม่เซินก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะกดสั่งอาหารทันที
“ลองดูสิว่าอยากกินอะไร?”
หลังจากที่เขาเปิดหน้าสั่งอาหารขึ้นมาแล้วนั้นก็ได้ยื่นโทรศัพท์ไปตรงด้านหน้าของหานมู่จื่อ