บทที่697 ใครบอกว่าฉันถูกเกลียดกัน
“จะว่าไป เด็กคนนี้ดูไปแล้วอายุอย่างน้อยก็น่าจะประมาณราวๆสี่ห้าขวบ หรือว่าเป็นลูกของลูกสาวตระกูลเสิ่นผู้นั้นกัน? แต่…คุณชายเย่ไม่ใช่ว่ากำลังจะมีงานแต่งงานกับคุณหนูแห่งตระกูลหานหรือไง? หรือ…นี่เป็นลูกของอดีตภรรยาของเขา?”
“…ถ้ามีลูกล่ะก็ นั่นมันน่าเห็นใจคุณหนูตระกูลหานคนนั้นจริงๆ ได้ยินมาว่านั่นเป็นถึงน้องสาวที่หานชิงตามหามาเป็นเวลานานเลยทีเดียว หลังจากที่ตามหาจนเจอก็คอยโอ๋พะเน้าพะนอมาโดยตลอด แต่กลับต้องแต่งเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงให้กับคนอื่นเขาแบบนี้ หานชิงจะยอมหรอ?”
“อันที่จริงก็เป็นคู่ที่มีฐานะทางครอบครัวที่เหมาะสมกัน เพียงแต่ต้องมาเป็นแม่เลี้ยงก็น่าเห็นใจจริงๆ แต่ครอบครัวตระกูลใหญ่แบบนี้ใครรู้ชัดได้ ไม่แน่นะว่าเบื้องหลังการแต่งงานจะมีจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่มีใครรู้ก็ได้”
คำพูดซุบซิบนินทาของคนเหล่านั้นดังเข้ามาทีละประโยคๆ ราวกับว่าเจ้าของเรื่องไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยยังไงอย่างนั้น พูดคุยกันออกมาเสียงดังลั่น
เย่โม่เซินที่ในตอนแรกเริ่มไม่คิดจะสนใจพวกเขา แต่พอเห็นพวกเขาพูดคุยอย่างสนุกปากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่พูดถึงหานมู่จื่อ คิ้วของเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน บรรยากาศรอบตัวเขาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นขึ้นมา
“พวกคุณลุงคุณป้านี่นิสัยไม่ดีเลยนะครับ หม่ามี๊ของผมเคยพูดตอนไหนว่าจะแต่งมาเป็นแม่เลี้ยงครับ?”
ในตอนที่เย่โม่เซินเตรียมที่จะตวาดด่าออกไปนั้น ก็มีเสียงอ้อแอ้ที่กลับเป็นเสียงอันเต็มไปด้วยพลังของเด็กน้อยเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสี่ยวหมี่โต้วเงยหน้าขึ้นมองเหล่าคนที่พูดคุยกันออกมาพวกนั้น
“อีกทั้งหม่ามี๊ของผมก็เคยบอกว่าคนที่พูดนินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง เป็นโรคที่ไม่ดีชนิดหนึ่ง เสี่ยวหมี่โต้วอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
พูดจบ เสี่ยวหมี่โต้วก็ยังมองไปยังเย่โม่เซิน เอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “พวกเขาเป็นคนไม่ดีใช่มั้ยครับ? ทำไมถึงต้องพูดให้ร้ายหม่ามี๊ด้วย?”
กลุ่มคนที่พูดคุยกันพวกนั้น “…”
เด็กคนนี้ฉลาดพูดเกินไปแล้วมั้ยเนี่ย? หม่ามี๊ของเขาสอนยังไงกัน?
เด็กนั่นตำหนิกลุ่มคนพวกนั้นต่อหน้าต่อตาตน อีกทั้งยังหันมาพูดกับเขา เจตนาของคำพูดนั้นชัดเจนอย่างมาก ในครั้งแรกที่เย่โม่เซินเห็นแววตาของเด็กนั่น ก็รู้สึกได้เลยว่าแววตาของเขานั้นดูคุ้นมากๆ เพียงแต่คิดไม่ออกว่าไปคุ้นมาจากที่ไหน
ตอนนี้จู่ๆก็นึกได้ขึ้นมา สายตานี้…ไม่ใช่ว่าแทบจะไม่ต่างไปจากตนเลยล่ะมั้ง?
ในตอนที่เขาส่องกระจกก็ได้เห็นมันบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคย
เจ้าเด็กนี่…
มุมปากของเย่โม่เซินอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มือใหญ่กดลงไปบนศีรษะของเด็กน้อย พร้อมส่งเสียงอืมออกมา
“เสี่ยวหมี่โต้วพูดถูก คนประเภทนี้ไม่ใช่แบบอย่างที่ดี เด็กน้อยห้ามเอาเยี่ยงอย่างพวกเขาเด็ดขาด อีกอย่างหม่ามี๊ของลูกก็ไม่ได้แต่งเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงเสียหน่อย”
กลุ่มคนพวกนั้นถูกคำพูดของเย่โม่เซินที่ว่าพวกเขาไม่ใช่แบบอย่างที่ดี ห้ามเอาเยี่ยงอย่างพวกเขาเด็ดขาดคำนั้นทำเอาพวกเขารู้สึกอับอายไปสักพักนึง แต่เพียงไม่นานก็ได้ถูกคำพูดที่ว่าไม่ได้แต่งเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงคำนั้นมาทำให้ตื่นตะลึงกันขึ้นมาอีกครั้ง
คำพูดนั้นมันหมายความว่าอะไรกัน?
“ไม่ใช่แม่เลี้ยงมันหมายความว่าอะไร? หรือว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหานเป็นแม่แท้ๆของเด็กคนนี้งั้นหรอ?”
“ไม่ใช่สิ…เด็กคนนี้โตขนาดนี้แล้ว จะคลอดออกมาเองได้ยังไงกัน? ถ้าคลอดออกมาเอง งั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลหานก็…”
“พระเจ้า คงไม่ใช่ว่าเป็นลูกสาวตระกูลเสิ่นเมื่อตอนนั้นหรอกมั้ง?”
“…ถ้าว่ากันอย่างนั้นแล้วดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้จริงๆด้วย ตระกูลหานได้ตามหาคุณหนูคนนั้นเจอเมื่อห้าปีก่อน”
กลุ่มผู้คนเหล่านั้น “…”
เสี่ยวหมี่โต้วกะพริบตาปริบๆ มองกลุ่มคนพวกนั้นอย่างใสซื่อ “ยินดีด้วยพวกคุณทายถูกแล้ว หม่ามี๊ของผมกลับมายังตระกูลหานเมื่อห้าปีก่อน แต่…เพราะว่าพวกคุณไม่ได้ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีออกมา ดังนั้นถึงแม้ว่าจะทายถูกแต่ก็ไม่มีรางวัลให้หรอกนะครับ”
เย่โม่เซินลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ “เอาล่ะ พูดจบแล้ว กลับบ้านกับแด๊ดดี้เถอะ”
พูดจบ เย่โม่เซินยื่นมือออกไปทางเด็กน้อย เพื่อจะจูงมือเด็กน้อยเดินออกไป
เสี่ยวหมี่โต้วเห็นฝ่ามือกว้างหนานั้น แต่ก็ไม่ได้วางมือลงไป แต่ได้กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็เมินมือข้างนั้นไป ก้าวขาสั้นๆของตัวเองเดินไปข้างหน้า
เย่โม่เซิน “…”
สายตาของเขามองตามเบื้องหลังร่างเล็กของเสี่ยวหมี่โต้วออกไป เด็กนั่นยังไม่ยอมรับเขาใช่มั้ย? เย่โม่เซินจำต้องลุกขึ้นแล้วเดินตามไป เสี่ยวหมี่โต้วได้เปิดประตูเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างๆคนขับเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เย่โม่เซินทำได้เพียงสตาร์ทรถไปพร้อมทั้งเตือนให้เด็กน้อยคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยไปด้วย
เสี่ยวหมี่โต้วหันไปจ้องมองเขา “คุณลุง หม่ามี๊อยู่กับคุณลุงหรือเปล่า?”
เย่โม่เซิน “…”
เรียกลุงอีกแล้ว
“ไม่ใช่ว่าลุงเคยบอกนายไปแล้วหรือไงว่าต้องเปลี่ยนมาเรียกว่าแด๊ดดี้ไง? ลุงกับหม่ามี๊ของนายจะแต่งงานกันเดือนหน้าแล้วนะ”
“โอ้”
เด็กน้อยเมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังจะแต่งงานกัน ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา มีเพียงแค่เสียงโอ้ดังออกมาเพียงเท่านั้น
เย่โม่เซินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา คิดว่าเสี่ยวหมี่โต้วดูเหมือนว่าจะเป็นพวกมีทิฐิสูงเล็กน้อย ดูท่าทางแล้วเด็กคนนี้จะจัดการยากกว่าที่เขาคิดแฮะ
ทำไงดี?
หลังจากที่เสี่ยวหมี่โต้วกลับมาถึงวิลล่าไห่เจียง เสี่ยวหมี่โต้วร้องตะโกนพร้อมเดินไปหาหม่ามี๊ของเขาอย่างอารมณ์ดี ด้วยความรวดเร็วที่ไม่ทิ้งให้เห็นแม้แต่เงา
ในฐานะที่เป็นพ่อ เย่โม่เซินจึงรู้สึกห่อเหี่ยวใจขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความขอความช่วยเหลือเข้าไปในกลุ่มของบริษัท
พนักงานตำแหน่งสูงๆของบริษัทล้วนอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งนั้น ในตอนนี้ได้เลิกงานเตรียมตัวกินข้าวกันแล้ว แต่ผลสุดท้ายโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาพร้อมๆกัน เลื่อนดูพบว่าเป็นข้อความที่บอสเย่ส่งเข้ามาในกลุ่ม ทุกคนพูดคุยจอแจเสียงดังกันขึ้นมาทันที
อันที่จริงปกติเย่โม่เซินจะปรากฏตัวในกลุ่มน้อยครั้งมาก ปกติแล้วถ้าเป็นมีเรื่องการจัดการวางแผนงาน ก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นเซียวซู่ที่จะเป็นผู้แจ้งเองทั้งนั้น
ดังนั้นแล้วในตอนนี้การที่เขาเป็นฝ่ายส่งข้อความมาด้วยตัวเองแบบนี้ ทุกคนก็ต่างมีอาการตื่นตกใจกันแบบสุดๆ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลมากยิ่งกว่านั้นก็คือ คำสั่งที่ทำให้เย่โม่เซินต้องเป็นฝ่ายออกมาแจ้งตัวเองได้นั้น มันจะต้องเข้มงวดขนาดไหนกันเนี่ย
ดังนั้นจึงได้ทำให้คนที่กำลังจะกินข้าว คนที่กำลังขับรถ ทั้งหมดต้องหยุดการกระทำทุกอย่างลง จากนั้นก็กดปลดล็อกโทรศัพท์ แล้วกดเข้าไปในกลุ่มทันที
แต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นข้อความประโยคนั้นที่เย่โม่เซินส่งมาแล้วนั้น ก็เริ่มรู้สึกไม่เชื่อตาตัวเองกันขึ้นมา
คือพวกเขา…อ่านผิดไปหรือเปล่า???
พวกเขาคิดว่าเย่โม่เซินจะมาประกาศสั่งงานในกลุ่มเสียอีก แต่มันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่…ถามคำถามงั้นหรอ?
แล้วคำถามที่ถามออกมานั้นก็ยัง…
ประจบเอาใจเด็กยังไง?
คุณชายเย่ที่แสนองอาจของพวกเขาอยากประจบเอาใจเด็กคนนึง? ครั้งที่แล้วที่ใจลอยเอ่ยถามมาว่าเด็กชอบอะไรขึ้นมากลางที่ประชุมก็ทีนึงแล้ว มาวันนี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาถามในกลุ่มอีกว่าจะประจบเอาใจเด็กคนนึงยังไง?
ในตอนที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกันออกมาต่างๆนานา ก็มีข้อความหนึ่งส่งเข้ามาในกลุ่ม
(คุณชายเย่โดนเด็กน้อยเกลียดเข้าแล้ว?)
อะไรนะ??
ผลสุดท้ายไม่ถึงสองวิ ทุกคนก็เห็นการแจ้งเตือนขึ้นมาอีกครั้ง
สมาชิกในกลุ่มยกเลิกข้อความหนึ่งไป
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเพื่อการสรรหาบุคลากรกุมโทรศัพท์มองดูการแจ้งเตือนการยกเลิกข้อความ ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวนแบบสุดๆ
เมื่อกี้เขามือไวไปหน่อย จึงส่งข้อความนั้นออกไป คุณชายเย่คงไม่เห็นหรอกใช่มั้ย? ถ้าคุณชายเย่เห็นเขาพูดอย่างนั้นออกไปล่ะก็ ไม่รู้ว่าคุณชายเย่จะโกรธเขาขึ้นมาหรือเปล่า
สรุปแล้วก็คือผู้จัดการฝ่ายการตลาดเพื่อการสรรหาบุคลากรรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาอย่างมาก รับรู้ถึงความรู้สึกเย็นหลังขึ้นมา
ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะพูดอะไรออกไปเพื่อกู้สถานการณ์นั้นเอง บอสใหญ่เย่ของพวกเขาก็ได้ส่งข้อความมาอีกครั้ง
(ใครบอกว่าฉันถูกเกลียด?)
ทันทีที่ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเพื่อการสรรหาบุคลากรเห็นข้อความนั้น ก็ตกใจช็อกแทบจะหมดสติไปทันที
บ…บอสใหญ่เย่เห็นข้อความนั้นของเขาแล้ว?
ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเพื่อการสรรหาบุคลากรผู้นั้นคิดอยู่นาน จึงตัดสินใจเลือกใช้วิธีการแนะนำวิธีให้กับเขาไปเพื่อกู้สถานการณ์สักหน่อย ดังนั้นแล้วเขาจึงพิมพ์ออกไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เอาวิธีที่เขาเคยใช้เอาใจลูกชายของเขาเมื่อก่อนส่งไป