บทที่ 734 คราวนี้ที่รู้สึกเสียใจมาก
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกหม่ามี๊ของเสี่ยวหมี่โต้ว หานมู่จื่อก็รู้สึกหัวใจเธอสั่นไหว เธอจึงค่อยๆหันไปมองเสี่ยวหมี่โต้วอย่างช้าๆ
ใบหน้าของเจ้าตัวเล็กดูแดงก่ำ สายตาวาววับและดูโหยหาเธอ
เขาดูไม่ได้โกรธเธอเรื่องวิดีโอคอลในวันนั้น
แม้ว่าหานมู่จื่อจะรู้ว่าไม่ได้โกรธเด็กน้อยตรงหน้าข้ามคืน
แม้จริงๆเธออาจจะอยากตีเขา แต่เมื่อพอแสดงด้านดีๆ ให้ลูกอมเขาอีกครั้งเด็กไร้เดียงสาคนนี้ก็จะกลับมาชอบเธออีกครั้งทันที
ตอนนี้เสี่ยวหมี่โต้วอยู่ตรงหน้าเธอ เธอรู้สึกเจ็บปวดเหมือนความรู้สึกมันกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
เธอขยับริมฝีปากพยายามจะพูดอะไรออกมา
แต่จู่ๆเสี่ยวหมี่โต้วกลับพุ่งไปกอดคอหานมู่จื่อไว้อย่างแรง
หานมู่จื่อตัวแข็งทื่อรู้สึกได้ถึงแขนนุ่มๆของเด็กชายตัวเล็กที่กอดรอบคอเธอไว้ มือเล็กๆที่โอบรอบคอเธอก็สัมผัสที่คอเธอเบาๆ เด็กชายตัวนุ่มนิ่มกล่าว “หม่ามี๊ เสี่ยวหมี่โต้วคิดถึงหม่ามี๊จังเลย”
หานมู่จื่อ: “…………”
เธอค่อยๆเงยหน้า อยากจะเอื้อมไปจับปลายนิ้วที่อยู่หลังคอตน
แต่ทันใดนั้นหนูน้อยพูดขึ้นมาว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊ตอนนี้อยากจะสนใจเสี่ยวหมี่โต้วหรือยัง?”
คำถามที่ถามออกมาด้วยความระมัดระวัง เพราะกลัวว่าเธอจะโกรธและไม่สนใจกัน จนทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกเศร้าขึ้นมา
ดวงตาของหานมู่จื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำก่อนจะมองที่เสี่ยวหมี่โต้วแล้วถามกลับเสียงเบา “ถ้าแม่ไม่สนใจลูกอย่างที่พูด เสี่ยวหมี่โต้วจะโกรธแม่ไหม?”
เสี่ยวหมี่โต้วกระพริบตาปริบๆ ใบหน้าเล็กๆนั้นดูเรียบง่ายและจริงจัง “ไม่เลยหม่ามี๊ เสี่ยวหมี่โต้วจะไม่โกรธหม่ามี๊เลย”
“จริงเหรอ? แล้วถ้าแม่ไม่สนใจฟังเสี่ยวหมี่โต้วเลยล่ะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้ว ก็คร่ำครวญเอียงศีรษะและพูดว่า “ถ้าหม่ามี๊ไม่สนใจฟังเสี่ยวหมี่โต้วเลย เสี่ยวหมี่โต้วก็จะรอแม่ เพราะเสี่ยวหมี่โต้วเป็นลูกของแม่ เดี๋ยวสักวันหนึ่งหม่ามี๊ก็จะสนใจเสี่ยวหมี่โต้วเอง”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น หานมู่จื่อไม่เพียงแต่เสียใจแต่ยังรู้สึกผิดอีกด้วย
เธอไม่รับผิดชอบต่อสิ่งใด แต่กลับสอนให้เสี่ยวหมี่โต้วเป็นคนมีน้ำใจขนาดนั้น แถมเป็นเด็กที่เอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่น
ถ้าตามปกติแล้วเสี่ยวหมี่โต้วควรจะเกลียดเธอไม่ใช่เหมือนกับตอนนี้ที่ให้อภัยทั้งคำพูดและการกระทำของเธอที่เกิดเมื่อก่อนหน้านี้ แถมยังพูดด้วยใบหน้าเสียใจว่าจะรอเธอตลอดไป
เป็นลูกชายที่ไม่มีใครเทียบเลย
หานมู่จื่อรู้สึกซาบซึ้งจับใจ จนรวบตัวเสี่ยวหมี่โต้วมาไว้ในอ้อมกอด “ก่อนหน้านี้หม่ามี๊ผิดเอง หม่ามี๊จะไม่ทำอีกแล้ว”
“หม่ามี๊ครับ แล้วแด๊ด…….”
“เกี่ยวกับพ่อของลูก กลับไปถึงก่อนแล้วหม่ามี๊จะบอกนะ ตอนนี้ที่นี่นักข่าวเยอะเกินไป พวกเรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า”
เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เพราะรถที่พวกเขานั่งเป็นของตระกูลหาน ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วและหานมู่จื่อจึงต้องกลับไปที่บ้านตระกูลหาน ส่วนเซียวซู่และซูจิ่วก็นั่งรถคันอื่นไปแล้วต่างคนต่างก็ต้องกลับไปจัดการเรื่องของตัวเอง
หลังจากมาถึงบ้านตระกูลหาน หานชิงก็พูดกับหานมู่จื่อว่า “ช่วงนี้เธอก็พักอยู่ที่บ้านตระกูลหานไปก่อนเถอะ ร่างกายของเธอตอนนี้อ่อนแอเกินไป อยู่ที่นี่จะได้มีคนมาดูแล”
หานมู่จื่อนิ่งคิดไปสักพัก ก่อนจะส่ายหัวกลับไป
“ฉันจะไม่พักอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินดังนั้นหานชิงก็ขมวดคิ้วมุ่น “นี่เธอยังต้องการกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเหรอ? ที่นั่นไม่มีใครดูแลเธอเลยนะ ถ้าเธอต้องการกลับไปที่นั่นฉันจะให้ไปแต่ฉันจะให้คนรับใช้ไปกับเธอด้วย”
หานมู่จื่อส่ายหัว “ฉันก็จะไม่กลับที่ห้องพักนั่นเหมือนกัน”
หานชิงรู้สึกงุนงงกับเรื่องนี้เล็กน้อย
ถ้าเธอไม่กลับไปที่นั่น ไม่พักที่บ้านตระกูลหานเช่นกัน แล้วเธอต้องการไปที่นั่น?
หรือว่าจะไปอยู่ที่บริษัท?
ตอนที่หานชิงกำลังประมวลผล หานมู่จื่อก็กระซิบเบาๆว่า “ฉันจะพาเสี่ยวหมี่โต้วไปพักที่วิลล่าไห่เจียง”
วิลล่าไห่เจียงเป็นสถานที่ของเย่โม่เซิน ที่แท้เธอต้องการกลับที่ๆของเย่โม่เซิน
หานชิงจึงผงะชั่วครู่
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ต้องการไปพักที่วิลล่าไห่เจียง
ขณะกำลังคิดเรื่องนี้ หานมู่จื่อก็ก้มมองที่เสี่ยวหมี่โต้วที่ยืนเกาะขาเธอไว้ก่อนจะเอ่ยถามเสี่ยวหมี่โต้วเสียงเบา “เสี่ยวหมี่โต้ว หม่ามี๊จะพาหนูย้ายไปที่วิลล่าไห่เจียง หนูอยากไปกับหม่ามี๊ไหม?”
เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วได้ยินดังนั้นก็กอดขาแม่ตัวเองเสียงยกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงอย่างขยันขันแข็ง
“อืม หม่ามี๊ไปที่ไหนเสี่ยวหมี่โต้วก็จะไปที่นั่น”
“เด็กดี” หานมู่จื่อลูบหัวเสี่ยวหมี่โต้ว จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “พี่ หลังจากอาหารค่ำวันนี้ บอกให้ลุงหนานไปส่งพวกเราที่วิลล่าไห่เจียงนะ”
เป็นที่เข้าใจแล้วว่าเธอต้องการพักที่วิลล่าไห่เจียง
ถ้าไม่เกิดเรื่องกับเย่โม่เซิน ตอนนี้เธอก็คงเป็นภรรยาของเย่โม่เซินและอาศัยอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาคู่หนึ่งอย่างปกติ
“อืม”
“เสี่ยวหมี่โต้ว ขึ้นไปเก็บของเร็วลูก”
เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน
หานชิงมองไปที่เธอก่อนจะส่ายหัวระอา ช่วยไม่ได้เด็กน้อยคนนี้ก็เปลี่ยนเป็นดื้อรั้นอย่างเร็วและไม่อยากจะคิดเลยว่าใครจะเป็นคนดูแลเขาในวันที่แม่ไม่สนใจเขา
ต้องไปแล้วและไม่ได้รู้สึกอาวรณ์เลย
รู้สึกมาเสมอว่าลุงเขาคนนี้ถูกละเลยจริงๆ
หลังจากผ่านอาหารค่ำไป ลุงหนานก็ส่งเสี่ยวหมี่โต้วและหานมู่จื่อไปที่วิลล่าไห่เจียง
สิ่งที่วุ่นวายที่สุดก็คือเสี่ยวเหยียน เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเย่โม่เซินเพราะเธอไม่สามารถอยู่ทิ่วิลล่าไห่เจียงได้และพักอยู่ที่บ้านตระกูลหานได้
ดังนั้นสุดท้ายเธอก็ต้องกลับไปพักที่ห้องพักของตัวเอง
เมื่อลุงหนานไปส่งเธอเสี่ยวเหยียนยังคงมองไปที่หานมู่จื่อด้วยความสงสารจับใจ
“มู่จื่อ เธอจะไม่พักอยู่กับฉันจริงๆเหรอ? ให้ฉันพักอยู่ห้องใหญ่ขนาดนั้น ฉันก็กลัวนะ!”
หานมู่จื่อ “……..เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ จะกลัวอะไร?”
“เป็นผู้ใหญ่แล้วไง ห้องใหญ่ขนาดนั้นให้พักอยู่คนเดียวก็น่ากลัวอยู่ดี งั้น….เธอให้เสี่ยวหมี่โต้ว…..”
“ไม่ได้ ถ้าเธอกลัวอย่างที่บอกเธอก็ไปหาพี่ชายฉันสิ ไปกันค่ะลุงหนาน”
ลุงหน้าพยักหน้าลากับเสี่ยวเหยียน จากนั้นจึงขับรถออกไปและปล่อยให้เสี่ยวเหยียนยืนอยู่ที่ตรงนั้นด้วยความโมโห
ยัยมู่จื่อ ให้เธอที่กำลังกลัวไปหาพี่ชายของมู่จื่อเนี่ยนะ? เธอจะไปกล้าได้ไง?
ณ วิลล่าไห่เจียง
นับตั้งแต่ข่าวของเย่โม่เซินแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองเป่ย คนในวิลล่าไห่เจียงต่างก็ทราบหมดแล้วตอนนี้พวกเขาจึงยังคงอยู่ในความเศร้า แต่ก็ยังต้องจัดการตัวเองกันต่อไป จากนั้นพวกเขาก็ได้รับค่าตอบแทนกันต่อ
ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว เมื่อเห็นรถกำลังวิ่งมาทางนี้ ผู้รักษาความปลอดภัยตรงประตูวิลล่าไห่เจียงก็เริ่มสุขุมดูเคร่งขรึมขึ้นมา
รถหยุดลงที่หน้าประตูใหญ่ ประตูรถถูกเปิดออก หานมู่จื่อลงจากรถพร้อมเสี่ยวหมี่โต้ว
พวกชายรักษาความปลอดภัยทั้งหลายต่างก็ทักทายพวกเขา ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น “คุณผู้หญิง!”
“คุณผู้หญิงครับ! คุณชายเย่เขา……”
หานมู่จื่อตัดบทสนทนานั้น “รบกวนพวกคุณด้วย ท้ายรถมีกระเป๋าเดินทางอยู่ช่วยฉันถือหน่อยนะ ขอบคุณมาก”
เธอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเย่โม่เซิน แต่ใบหน้าของเธอและร่างกายของเธอที่ซูบลงไปเยอะก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว แสดงว่าเธอเองก็ไม่โอเคเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก ก่อนจะช่วยขนกระเป๋าเดินทางให้เธอ
“ลุงหนาน รบกวนลุงหนานมากเลยค่ะวันนี้ เธอทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยนะคะ”
“ครับ งั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ”
กลุ่มรักษาความปลอดภัยที่หน้าประตูพาหานมู่จื่อและเสี่ยวหมี่โต้วเข้าไปยังวิลล่าไห่เจียงพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง
ความจริงแล้วหานมู่จื่อไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ ความรู้สึกเธอแตกต่างออกไปทุกครั้ง
เช่นครั้งนี้ที่เธอมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าใจเป็นพิเศษ