บทที่ 743ขอแค่เขาปลอดภัยก็พอ
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็รู้ดีว่าหากไม่มีมูลความจริงหานชิงจะไม่มีทางบอกเธอแน่นอน
แต่….เธอก็ยังรู้สึกทุกข์ร้อนกระวนกระวาย
รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง ในเมื่อเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว กลับยังไม่มีเบาะแสของเย่โม่เซิน
พอวันนี้มีข่าวคราวของเขาแล้ว กลับทำให้เธอรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก
กลัวว่าเบาะแสนี้จะบอบบางอ่อนแอเหมือนกับฟองอากาศ ที่พอสัมผัสก็แตกหายไป
หานชิงมองท่าทางแบบนี้ของหานมู่จื่อ เป็นแม่คนแล้ว ตอนนี้กลับยังมีท่าทางเหมือนสาวน้อยแรกรุ่น กำลังมองตนเองด้วยขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจสงสัย ดูเหมือนว่าแม้แต่วิญญาณก็ยังสั่นสะท้านไปด้วย
เขายื่นมือมา กุมที่บนศีรษะของหานมู่จื่อ ความอบอุ่นฝ่ามือค่อยๆส่งต่อมาที่เธอไม่หยุด
ท่าทางแบบนี้ คือกำลังปลอบโยนเธออยู่
“วางใจเถอะ”
ในที่สุดริมฝีปากบางของหานชิงก็เริ่มขยับ น้ำเสียงอ่อนโยน“พี่จะทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจได้ยังไงกัน”
ได้ยินคำยืนยันของหานชิงหานมู่จื่อก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย แต่ก่อนที่จะได้พบเย่โม่เซิน เธอก็ยังรู้สึกว่าจิตใจของตนยังคงฟุ้งซ่าน
ความรู้สึกแบบนี้ หลังจากได้พบเขา ได้สัมผัสเขา รู้ว่าเขาปลอดภัยดี กลับมาอยู่ข้างกายตน จึงจะจางหายไป
“นั่งสิ”หานชิงดึงให้เธอนั่งลง จากนั้นก็ยื่นเมนูอาหารให้เธอ“เพิ่งจะเลิกงานก็มาเลย คงจะหิวแล้วแน่นอน กินอะไรก่อนเถอะ”
หานมู่จื่อส่ายหน้า“ฉันทานไม่ลงค่ะ”
“กินไม่ลง ก็ต้องกิน อีกเดี๋ยวบนไฟล์ทที่เรานั่ง ไม่ได้มีอาหารบริการบนเครื่องนะ จะบอกว่า เธอจะหาเขาในสภาพที่แขวนท้องหิวๆไปเหรอ”
หานมู่จื่อ“……”
ซูจิ่วที่อยู่ข้างๆนั่งลง ยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร“ต่อให้คุณหนูมู่จื่อไม่หิว ก็อย่าให้เด็กน้อยในห้องต้องหิวเลยนะคะ ตอนนี้ถึงเวลาอาหารแล้ว เด็กน้อยก็น่าจะหิวแล้วนะคะ”
หานมู่จื่อ“……”
ภายใต้แรงกดดันของทั้งสอง หานมู่จื่อได้สั่งอาหารและเครื่องดื่ม
เดิมทีนั้น เธอก็กินอะไรไม่ลงจริงๆ รู้สึกว่าจิตใจตนเองนั้นยังคงพะวงอยู่แต่กับเย่โม่เซิน
แต่เมื่อหลังจากที่ได้เอาของกินใส่ปากไปแล้วนั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าท้องอยู่หรือเปล่า ถึงได้รู้สึกเจริญอาหารอยู่ไม่น้อย
ตอนนี่ยังมีเวลาเหลือเฟือก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเครื่องไฟล์ทที่พวกเขาจองเอาไว้ หานชิงหั่นสเต็กหนึ่งชิ้นพลางเอ่ยว่า“ยังมีเวลาอีกนาน ค่อยๆกิน ดูแลตัวเองให้ดี ถึงจะมีแรงไปเยี่ยมคนอื่น ถึงเวลา…”
ตอนท้าย หานชิงไม่ได้พูดต่อ แต่เห็นชัดว่าแววตาเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
“ถึงเวลาอะไรคะ”หานมู่จื่อกินอาหารเข้าไปหนึ่งคำ จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ จ้องไปที่หานชิง
“ใช่แล้ว ในโทรศัพท์เลขาซูบอกว่า พวกเรายังมีเรื่องสงสัยอยู่เล็กน้อย รอให้ฉันไปไขข้อสงสัยด้วยตนเอง ตอนนี้ฉันก็มาด้วยตัวเองแล้ว….คือข้อสงสัยอะไรเหรอคะ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ซูจิ่วกับหานชิงก็สบตากัน ซูจิ่วยิ้มพลางอธิบายว่า“ข้อสงสัยนี้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาค่ะ รอให้เราลงจากเครื่องบินค่อยคุยกันนะคะ”
ลับๆล่อๆขนาดนี้……
หานมู่จื่อมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีบางอย่าง คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน กินไม่ลงแล้ว วางตะเกียบในมือลง
“อย่างนั้นพวกคุณบอกฉันมาตามตรงว่า ข้อสงสัยนี้เกี่ยวข้องกับเย่โม่เซิน ใช่มั้ย”
ซูจิ่วพยักหน้า
หานมู่จื่อสีหน้าเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกับเขาใช่มั้ยคะ”
ซูจิ่วไม่ได้ตอบ หานชิงก้มหน้าดื่มกาแฟ
“เลขาซู เขาได้รับบาดเจ็บใช่มั้ยคะ คุณบอกฉันสิ ว่าเกิดอะไรกับเขา เขาปลอดภัยมั้ย”
ซูจิ่วคิดว่าหากตนไม่พูดบางเรื่อง หานมู่จื่อคงต้องสติแตก คนท้องไม่ควรจะมีอารมณ์แปรปรวนไปมา หล่อนจึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า“คุณหนูมู่จื่อ คุณวางใจเถอะค่ะ ข้อสงสัยที่พวกเราพูดไม่ได้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณชายเย่ คุณชายเย่สบายดี ปลอดภัยดีค่ะ”
พอได้ยินว่าเย่โม่เซินปลอดภัยดี หานมู่จื่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ขอแค่เขาปลอดภัยก็พอ……”
เช่นนั้นข้อสงสัยอย่างอื่น ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรอีก
รอให้เธอได้พบกับเขา ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร นายทึ่ม……
ถึงเวลานั้นเธอต้องถามเขาแน่นอน ว่าทำไมยกทรัพย์สมบัติกับหุ้นทั้งหมดให้กับตนเอง โดยไม่ถามความยินยอม
ที่ทำเช่นนี้ เพราะเมื่อเขาจะจากไป หรือเกิดเรื่องอะไรกับเขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดกับหล่อนอย่างนั้นหรือ
เธอยังต้องตำหนิเขาด้วยว่า อยู่ดีๆทำไมถึงต้องกลับประเทศด้วย ทำไมถึงไม่พาตนเองกลับไปด้วย
คนบ้านี่……
คิดไปคิดมา หานมู่จื่อก็ขอบตาแดงก่ำ เธอหยิบตะเกียบขึ้นมา ก้มหน้ากินอาหาร
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ทำธุระส่วนตัวของแต่ละคน
สายตาของยังคงจับจ้องที่โน้ตบุ๊ค ระหว่างนั้นยังมีการประชุมออนไลน์ด้วย
ซูจิ่วคอยจดบันทึกอยู่ข้างๆ
กลับกลายเป็นว่าหานมู่จื่อ เป็นคนที่สบายที่สุด
เห็นชัดว่า……ตอนที่เธออยู่ที่บริษัทนั้นยุ่งมาก แต่ว่า……เธอไม่เคยนำงานกลับมาทำนอกเวลางานเลย
เพราะเธอรู้ ว่าตนเองกำลังท้อง ไม่อาจทำตัวดื้อรั้นได้ ถึงเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายเธอเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา อย่างนั้นก็ทำให้ลูกน้อยในท้องของตนเองต้องแย่ไปด้วย
เย่โม่เซินไม่อยู่ เธอก็ต้องเลี้ยงดูโซ่ทองคล้องใจของทั้งสองเป็นอย่างดี
ตอนนั้นเธอยังไม่เคยคิด รอเขากลับมา ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นเด็กน้อยกระโดดโลดเต้นแล้วก็เป็นได้
แต่ว่า……ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว อีกไม่นานเธอก็จะได้พบเขาแล้ว
จนถึงตอนนี้ลูกน้อย สองเดือนแล้ว ถึงตอนนั้นเธอก็จะบอกข่าวดีเรื่องนี้กับเขา
ตอนที่เครื่องบินมาถึงประเทศA กลุ่มของหานมู่จื่อเดินลากกระเป๋าเดินทางออกจากสนามบิน
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปหาเย่โม่เซินเหรอ”หานมู่จื่อหันกลับไปถามซูจิ่ว ตอนที่เดินอยู่ตรงทางเดินvip
ท่าทางรีบร้อนแบบนี้ ซูจิ่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แล้วตอบว่า“คุณหนูมู่จื่อ นั่งเครื่องบินมานานขนาดนี้ ตอนนี้พวกเราจะไปที่โรงแรมกันก่อน อาบน้ำล้างหน้าล้างตา จากนั้นพักผ่อนสักครู่”
“……”
หานชิงเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า“บินมาทั้งคืนแล้ว เธอไม่เหนื่อยเหรอ”
หานมู่จื่อส่ายหน้า“ไม่เหนื่อย”
เธอไม่นอนหลับบนเครื่อง อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ดังนั้นจึงทำให้ในมือของเธอมีแต่เหงื่อ หัวใจก็เต้นรัวแรง ไม่สามารถข่มตานอนได้เลย
“ไม่เหนื่อยก็ต้องพักผ่อน ดูสีหน้าเธอสิ”
หานชิงหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดกล้องในโทรศัพท์ถ่ายรูปเธอแล้วส่งให้หานมู่จื่อดู
“……”
เธอรับไป แล้วมองดูแวบหนึ่ง
พบว่ารอบตาดำของตนเองนั้นบวมขึ้นมาก และอาจจะเป็นเพราะเมื่อวานพอเลิกงานก็รีบมาเลย เครื่องสำอางบนใบหน้ายังไม่ทันได้เช็ดล้าง ผ่านความเหนื่อยล้ามาทั้งคืน เครื่องสำอางก็เลือนหายไปหมดแล้ว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง
ดูแล้ว เหมือนคนบ้าจริงๆ
จะไปหาเย่โม่เซินในสภาพนี้ คงจะไม่ดีนัก
“อย่างนั้นก็ได้ พวกเราไปที่โรงแรมก่อน”
แม้ว่าเธอจะอยากรีบไปหาเย่โม่เซินในทันที แต่ว่า……แต่ว่าตอนนี้คงจะไม่ได้ สภาพแบบนี้ของเธอคงทำให้เขาตกใจ
เพราะภาพลักษณ์ของตนเองเธอถึงยอมถอยกลับไปที่โรงแรมก่อน นี่ทำให้ซูจิ่วและหานชิงยิ่งกังวลมากขึ้น
ในเมื่อ……เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขายังไม่ได้บอกหานมู่จื่อเลย
ก็ไม่รู้ว่า หลังจากที่เธอรู้เรื่องแล้ว จะคิดอย่างไร