บทที่ 745 ตระกูลยู่ฉือ
ตระกูลยู่ฉือ
เมื่อก่อนหานมู่จื่อเคยได้ยินมาบ้าง ตระกูลยู่ฉือเป็นตระกูลที่ติดอันดับโลก และตอนนี้ก็มีแค่ท่านผู้เฒ่าเป็นคนบริหารจัดการเพียงคนเดียว
ตอนนั้นเธอเป็นดีไซน์เนอร์ เคยติดต่อกับคนของตระกูลยู่ฉือครั้งหนึ่ง ต่อมาเพื่อนร่วมวงการของตนเห็นคนของตระกูลยู่ฉือก็ตื่นเต้นแทบเป็นบ้า จากนั้นก็เล่าย่อๆให้เธอฟัง
ซุบซิบนินทาเป็นพิเศษว่า ตระกูลยู่ฉือนั้นเจ๋งเป็นพิเศษ แต่เก่งก็ส่วนเก่ง ตอนนี้มีแค่ท่านผู้เฒ่าคนเดียวที่บริหารกิจการของตระกูล
แม้ว่าท่านผู้เฒ่าจะอายุมากแล้ว แต่ว่ายังแข็งแรง สมองยังคงปราดเปรื่อง ใครคิดร้ายต่อเขา หรือคิดจะแย่งชิงทางธุรกิจกับเขา แต่ก็ถูกเขาจัดการจนพินาศ
ตอนนั้นหานมู่จื่อรู้สึกสงสัย จึงถามไปว่า ทำไมเขาถึงบริหารอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีลูกหลานเลยเหรอ หรือว่าไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยหรือ
เพื่อนร่วมอาชีพของเธอบอกว่า ท่านผู้เฒ่ายู่ฉือมีลูกสาวสองคน
แต่ว่าต่อมาเกิดขัดแย้งกัน สองพี่น้องต่างหนีไปจากตระกูลยู่ฉือ เหลือเพียงท่านผู้เฒ่าดูแลกิจการเพียงคนเดียว
ถอนหายใจพูดว่า บางคนเกิดมาร่ำรวยสูงส่ง แต่กลับเห็นเงินทองเป็นของไร้ค่า น่าสงสารที่พวกเราเกิดมาต่ำต้อย ทำได้แค่วิ่งอยู่บนถนนไม่หยุด พอหยุดก็อาจจะถูกคนอื่นแซงได้ จากนั้นก็โดนเหยียบย่ำไปอยู่ท้ายสุด ได้แต่แหงนมองผู้นำพวกนั้น
ตอนนั้นหานมู่จื่อได้ยินว่าลูกสาวสองคนของตระกูลยู่ฉือต่างหนีจากไปแล้ว ไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว
สาเหตุอะไรกันแน่ ที่ทำให้ลูกสาวทั้งสองทอดทิ้งพ่อที่สูงวัยคนหนึ่ง และก็ไม่สนกิจการครอบครัวกันนะ
ตอนนั้นเธอคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเธอมากๆ แต่ว่าตอนนี้……
เย่โม่เซินกลับมีความเกี่ยวพันกับตระกูลยู่ฉือ
และส้งอานและส้งซิน กลับกลายเป็นยู่ฉืออานและยู่ฉือซินในตอนนั้น
ทั้งหมดนี้ ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึง ทำให้คนยากจะเชื่อได้
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากล่าง เอกสารในมือถูกบีบจนบูดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่าง หานชิงที่อยู่ข้างๆเห็นภาพนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไร
ซูจิ่วอ้าปากเตรียม เตรียมจะพูดอะไรบางอย่างกับหานมู่จื่อ หานมู่จื่อที่นั่งอยู่ในรถจู่ๆก็ผลักประตู จากนั้นก็พุ่งตัววิ่งออกไปด้านหน้า
ทั้งสองคนตกตะลึง จากนั้นจึงเห็นร่างสูงใหญ่เดินออกมาที่ด้านอาคาร ใบหน้าที่คุ้นเคย หน้าตาที่หล่อเหลา รอบตัวมีความเยือกเย็น ไม่ใช่เย่โม่เซินหรอกหรือ
ที่แท้หานมู่จื่อเห็นเขา จึงได้เปิดประตูรถ
หานชิงและซูจิ่วสบตากัน จากนั้นก็รีบตามลงไป
แวบแรกที่หานมู่จื่อมองเห็นเย่โม่เซิน ก็ลงจากรถทันที จากนั้นก็พุ่งตัวตรงไปทางเขา แต่ฝีเท้าเธอนั้นไม่อาจเร็วกว่าหานชิงได้ เห็นชัดว่าใกล้จะถึงตัวเย่โม่เซินแล้ว ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่มาคว้าข้อมือเธอ ดึงเธอกลับไป
“โอ้ย”หานมู่จื่อร้องออกมา ดิ้นรนขัดขืน
“กลับมา”หานชิงดึงเธอกลับมา หานมู่จื่อคิดจะดึงมือของตัวเองออกมา พลางเอ่ยว่า“พี่คะ ปล่อยฉันเถอะ ปล่อยน้องนะ”
หานชิงขมวดคิ้ว ไม่ปล่อยเธอ ได้แต่เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า“ตอนนี้เขาไม่รู้จักเธอแล้ว เธอไปหาเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ฉันไม่เชื่อ นี่มันผ่านไปนานแค่ไหนเอง เขาจะไม่รู้จักฉันได้ยังไง พี่คะ……ปล่อยน้องเถอะนะ น้องจะไปถามเขา”
หานมู่จื่อเห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ จึงตัดสินใจก้มลงไปกัดที่ข้อมือเขาหนึ่งที
อาจเป็นเพราะหานชิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะใช้วิธีนี้ พอรู้สึกเจ็บก็ปล่อยมือทันที หานมู่จื่อก็พุ่งตรงไปที่เย่โม่เซิน
เธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปหาเย่โม่เซิน รอจนเธอไปขวางทางเย่โม่เซินไว้ หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หานมู่จื่อยังคงหอบหายใจ
ขาเรียวยาวของเย่โม่เซินถูกเธอที่จู่ๆมาขวางอยู่ตรงหน้าจึงต้องหยุดลง
มองหญิงสาวผมยาวสยาย ใบหน้าขาวซีด ดวงตาแดงก่ำ แม้แต่ริมฝีปากยังไม่มีสีเลือดที่อยู่ตรงหน้า คิ้วเรียวสวยของเย่โม่เซินก็ขมวดเข้าหากัน
จากนั้น เขาก็เอาเธอเข้าไปอยู่ในผู้หญิงประเภทเดียวกับที่มาตามจีบเขาเหล่านั้นในช่วงนี้
วินาทีถัดมา เขาก้เบนสายหนี เดินอ้อมผ่านหานมู่จื่อไป
หานมู่จื่อ“……”
เธออึ้งไปห้าวินาทีเต็มๆจึงได้สติกลับมา จากนั้นก็หมุนตัวตามเขาไปขวางหน้าเย่โม่เซินไว้อีก
เย่โม่เซินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“มีธุระอะไร”
ดวงตาคู่นั้นของหานมู่จื่อเบิกโพลง
เขาขมวดคิ้วแน่นแบบนี้ ราวกับเขียนคำว่ารำคาญไว้ที่นัยน์ตาและใบหน้า เขาไม่รู้จักตนเองแล้ว…จริงๆหรือ
ไม่!
เธอไม่เชื่อ!
คำพูดที่เขาเคยกระซิบข้างหูเธอเมื่อก่อนนั้นยังดังก้องเมื่อได้ยินเมื่อวาน เธอและเสี่ยวหมี่โต้วรอเขากลับมาทุกวัน
ทุกคืน เขาจะเข้ามาในความฝันของเธออิงแอบแนบชิด กระซิบกระซาบกับเธอ
ตอนนี้ ทำไมถึงเย็นชาแบบนี้
“คุณ คุณไม่รู้จักฉันเหรอคะ”ตอนที่ถามคำถามนี้ หานมู่จื่อรู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อย
คำถามนี้เหมือนกำลังหยอกล้อเย่โม่เซิน มุมปากเขากระดกขึ้น ยิ้มอย่างดูถูกเยาะเย้ย
“คุณผู้หญิงคนนี้ ขอถามหน่อยว่าเราจำเป็นต้องรู้จักกันเหรอครับ”
สิ้นเสียง เขาก็ยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ ยกออกจากมืออ่อนนุ่มของหานมู่จื่อที่เกาะกุมอยู่ สายมองไปที่ใบหน้าขาวซีดของเธอ เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า“ต่อให้คิดอยากจะมาจีบผม ก็ควรจะหาเหตุผลที่ฟังดูดีกว่านี้หน่อย พอคุณมา ก็บ้าคลั่งขนาดนี้ คิดจะมาเบนความสนใจของผมเหรอ”
หานมู่จื่อ“……”
เพราะท่าทางและคำพูดของเขา สีหน้าของหานมู่จื่อก็ยิ่งขาวซีดขึ้นอีก
มองมือของเขาที่ยังจับผมของเธอเล่นอยู่ตรงหน้า ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจและดูถูก หานมู่จื่อรู้สึกปวดร้าวหัวใจ แทบจะไม่ต้องคิดเลยเธอคว้ามือของเขาไว้ทันที ตะโกนออกไปว่า “คุณไม่ต้องโวยวายแล้ว กลับไปกับฉัน”
ตอนแรกเย่โม่เซินแค่ม้วนผมนุ่มของเธอเล่นเท่านั้น คิดว่าวิธีเข้าหาผู้ชายของผู้หญิงคนนี้แปลกเป็นพิเศษ
ผู้หญิงคนอื่นเข้าผู้ชายต่างพยายามทำตัวให้สวยที่สุด
แต่เธอกลับ ใส่ชุดลำลองธรรมดาก็ยังพอทน แม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้แต่ง เผยหน้าสดมาให้เห็น ผมเผ้ายุ่งเหยิง
ไม่ได้มีความสวยงามเลยสักนิด
ตอนที่มือของเธอยื่นมากุมไว้นั้น เย่โม่เซินก็ตื่นตกใจเล็กน้อย เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างมาช็อตระหว่างมือทั้งสองที่จับกันอยู่ พุ่งเข้าไปที่ห้องหัวใจของเขาโดยตรง
เขาดึงมือที่เหมือนกับถูกไฟช็อตกลับ ถอยหลังไปเล็กน้อย มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างรังเกียจ
ความเกลียดชังที่ชัดเจนในแววตาของเขา ทิ่มแทงดวงตาของหานมู่จื่ออย่างเจ็บปวด
“คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ยคะ”
เธอเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า น้ำตาเอ่อขึ้นมารอบดวงตา ดวงตาคู่สวยเบิกโพลง ดูเหมือนว่ากำลังสกัดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แค่เธอกระพริบตา น้ำตาก็คงไหลพรั่งหรูออกมาเหมือนกับไข่มุกที่กลิ้งออกมา
“ช่วงหลายวันมานี้ พวกเราต่างก็เฝ้ารอคุณ คุณรู้มั้ยว่าพวกเราตามหาคุณนานแค่ไหน ไป พวกเรากลับประเทศกันเถอะค่ะ”
“เร็ว! คุณชายเซินถูกผู้หญิงมาเกาะแกะแล้ว พวกแกรีบไปเอาผู้หญิงคนนั้นออกไป”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนส่งเสียงออกมา มือของหานมู่จื่อถูกชายสูงใหญ่สองคนจับยึดเอาไว้ เธอตื่นตกใจเล็กน้อย มองไปทางเย่โม่เซิน
“ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วย….”
เสียงของหญิงสาวราวกับสัตว์ตัวน้อย สายตาขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างสิ้นหวัง
พอเห็นภาพนี้ ไม่รู้ทำไมเย่โม่เซิน กลับรู้สึกร้อนใจขึ้นมา