เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ – ตอนที่ 748 ฉันคิดวิธีออกแล้ว

บทที่ 748 ฉันคิดวิธีออกแล้ว

หลังจากที่หานมู่จื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็นั่งอยู่ข้างเตียง ด้านหลังมีหมอนสองใบหนุนอยู่ แววตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่ามองไปทางไหน

ซูจิ่วรินน้ำอุ่นแก้วหนึ่งส่งให้เธอ หานมู่จื่อไม่รับ ซูจิ่วได้แต่ถอนหายใจ วางแก้วน้ำในมือลง แล้วพูดว่า“ความจริงคุณชายเย่ตอนนี้……ไม่ใช่คุณชายเย่คนก่อนอีกแล้ว จะพูดให้ถูกก็คือ ตอนนี้เขาไม่ได้ชื่อว่าเย่โม่เซินแล้ว ชื่อแซ่ของเขาถูกตระกูลยู่ฉือเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เขาชื่อว่ายู่ฉือเซิน”

“ยู่ฉือเซิน……”

หานมู่จื่อพึมพำชื่อนี้ สัมผัสได้ถึงความขมขื่นในปาก

“ดังนั้น คุณจะบอกฉันว่า ตอนนี้เขาไม่รู้จักฉันแล้ว ไม่ใช่แค่ไม่รู้จัก แต่ไม่ได้ชื่อว่าเย่โม่เซินแล้ว…..แต่เปลี่ยนชื่อเป็นยู่ฉือเซินอย่างนั้นเหรอ ฉันรับไม่ได้ และก็ไม่อยากจะเชื่อ พวกคุณต้องตามหาผิดคนแล้ว เย่โม่เซินของฉัน จะไม่รู้จักฉันได้ยังไง”

ซูจิ่ว“คุณหนูมู่จื่อ แต่ความจริงมันก็คือแบบนี้นะคะ คุณชายเย่เองก็คงจะไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนชื่อเอง เขาคงจะไม่ได้รู้เรื่องอะไร”

“ไม่รู้……”หานมู่จื่อหลับตาลง “พวกคุณต้องหามาผิดคนแน่”

ซูจิ่วถอนหายใจอีกครั้ง“คุณหนูมู่จื่อคิดอะไรอยู่คะ คุณคิดว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อ คุณจะฟังที่ฉันวิเคราะห์สักหน่อยได้มั้ยคะ”

เธอไม่ได้ตอบรับ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ซูจิ่วจึงอธิบายว่า“ไม่ทราบว่าคุณหนูมู่จื่อเคยได้ยินอาการสูญเสียความทรงจำหรือไม่”

ปลายนิ้วหานมู่จื่อสั่นระริก หันหน้ามาหาซูจิ่ว

“คุณจะบอกว่า……”

ซูจิ่วพยักหน้า

“ถูกต้องค่ะ อาการของคุณชายเย่ตอนนี้ก็คือความจำเสื่อม มิเช่นนั้นด้วยความรู้สึกที่เขามีแต่คุณหนูมู่จื่อ จะอย่างไรเสียก็ไม่มีทางลืมได้ ครั้งแรกที่เราพบเขา เขาก็จำพวกเราไม่ได้เหมือนกัน พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่คุณชายเย่ต้องเกิดการกระทบกระเทือนทางสมองแน่นอน จึงทำให้ลืมเหตุการณ์ในอดีต”

“ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองเหรอ”ริมฝีปากสีชมพูของหานมู่จื่อสั่นเล็กน้อย รู้สึกยากที่จะเชื่อ

“อาการแบบนี้พวกเราได้สอบถามไปทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มีโอกาสเกิดอาการได้หลายอย่าง การสูญเสียความทรงจำก็เป็นหนึ่งในนั้น จากท่าทีที่คุณชายเย่แสดงออกต่อคุณหนูมู่จื่อ พวกเราจึงคาดว่าคุณชายเย่น่าจะความจำเสื่อม แต่ว่า….ไม่ใช่ว่าจะรักษาให้หายเป็นปกติไม่ได้ แต่ในทางการแพทย์ไม่ได้มีวิธีรักษาที่ระบุไว้ชัดเจน คนที่สูญเสียความทรงจำต้องหมั่นพูดคุยอยู่กับคนรู้จัก ไปในสถานที่คุ้นเคย ใช้วิธีนี้มากระตุ้นความทรงจำของเขา ให้ความทรงจำของเขาค่อยๆฟื้นคืนเรื่องในอดีต แต่ว่า…..ถ้าหากผู้ป่วยรับไม่ไหว ก็ไม่อาจฝืนทำหลายครั้ง”

“ความหมายคุณก็คือ……ถ้าฉันพาเขากลับบ้าน หรือให้ฉันคอยอยู่ตรงหน้าเขา อาจจะกระตุ้นความทรงจำในอดีตทั้งหมดของเขาให้ฟื้นคืนกลับมาได้”

คำพูดนี้ของซูจิ่ว ทำให้หานมู่จื่อมีความหวังขึ้นมาบ้าง จากเดิมที่มืดมิดตอนนี้ก็พอจะเห็นแสงสว่างรำไร

มีความหวังถือเป็นเรื่องดี

คนเรา มักจะต้องมีความคาดหวัง จึงจะทำให้ทุกวันยิ่งมีความหมาย

ซูจิ่วพยักหน้า“อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องนี้ยังไม่แน่นอน คุณหนูมู่จื่อ มีเรื่องมากมายที่เราต้องใช้ความพยายามจึงจะเห็นผล เหมือนเมื่อก่อน ครอบครัวของผู้สูญหายบางคนถอดใจที่จะค้นหา อย่างนั้น…ไม่ว่าผู้สูญหายจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หรือไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม ในเมื่อครอบครัวเขาทอดทิ้งแล้ว เช่นนั้นเท่ากับว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนๆนี้อีก แต่พวกเรายังไม่ถอดใจ สุดท้ายพวกเราก็ตามหาคุณชายเย่จนพบ ดังนั้น….ขอแค่คุณหนูมู่จื่อพยายาม ฉันเชื่อว่าไม่นานคุณชายเย่จะต้องจำเรื่องในอดีตได้แน่ค่ะ”

คำพูดเหล่านี้พูดได้ดีมาก โดยเฉพาะเมื่อพูดกับหานมู่จื่อที่ตกอยู่ในพื้นสีเทาหม่นหมอง สิ่งเหล่านี้เข้ามาเติมสีสันให้กับโลกของเธออย่างมาก

หานมู่จื่อนั่งตัวตรง“แต่ตอนนี้ฉันมีปัญหาอย่างหนึ่ง ในเมื่อเขาไม่รู้จักฉัน แล้วฉันจะไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาบ่อยๆได้อย่างไรล่ะ”

“นี่ก็คือปัญหาอย่างหนึ่ง” ซูจิ่วคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง มองหานมู่จื่อยังขมวดคิ้ว จึงยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว“ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้วเอาอย่างนี้มั้ยคะคุณหนูมู่จื่อลงไปทานอาหารที่ห้องอาหารชั้นล่างเสียหน่อย นอนพัก ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะคิดหาวิธีได้”

นอนสักตื่นแล้วจะคิดหาวิธีได้จริงเหรอ

แม้ว่าหานมู่จื่อจะไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกในท้องหิว จึงได้แต่พยักหน้า

“ได้ งั้นลงไปกินข้าวกันเถอะ”

ความจริงแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้ร้อนใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

เพราะว่า เธอหาตัวเย่โม่เซินพบแล้ว

แม้ว่าตอนนี้เขาจะจำตัวเองไม่ได้ แต่…..ขอแค่เขายืนอยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัยดี ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าเขายังมีชีวิตอยู่

นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สวรรค์ประทานให้

สำหรับเรื่องอื่นๆ เธอจะค่อยๆคิดหาวิธีแก้ไขเอา

ไม่ใช่ความจำเสื่อมเหรอ เธอจะต้องหาวิธีทำให้เย่โม่เซินจำตัวเองได้ให้ได้

เช้าวันต่อมา พวกหานมู่จื่อก็ไปที่ด้านหน้าอาคารบริษัทตระกูลยู่ฉืออีก ครั้งนี้หานมู่จื่อไม่ได้ลงจากรถ เธอนั่งมองอาคารใหญ่โตนี้ผ่านกระจกในรถ

ตอนนี้เย่โม่เซินชื่อว่ายู่ฉือเซิน เขาจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ น่าจะเป็นคนของตระกูลยู่ฉือที่ช่วยเขาไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อให้เขา

แต่ว่า…..ในเมื่อเปลี่ยนชื่อให้เขาแล้ว ก็เหลือเพียงคำว่าเซินตัวเดียว อย่างนั้นก็ควรจะรู้ชื่อเดิมของเขาถึงจะถูก

ในเมื่อรู้ชื่อเดิมของเขา ก็ต้องรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งหมดแน่นอน

แล้วทำไม คนของตระกูลยู่ฉือยังเลือกที่จะให้เขาใช้ยู่ฉือนำหน้าชื่อเขาอีก เพื่อให้เขาอยู่ที่นี่หรือ

หรือว่า เพราะตระกูลยู่ฉือไม่มีทายาทสืบต่อ

หานมู่จื่อเม้มปาก คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

หานชิงเหลือบมองมาดูเธอ“คิดออกหรือยังว่าจะทำอย่างไร ถ้าครั้งนี้เธอยังฝืนเข้าไปหาเขาอีก เขาก็จำเธอไม่ได้อยู่ดี เรื่องเมื่อวานนั้นอาจจะเกิดขึ้นในวันนี้อีก”

เมื่อวานเขายืนอยู่ข้างๆอย่างเพิกเฉยเย็นชา ปล่อยให้สองคนนั้นมาจับตัวเธอไว้ ไม่ว่าตนเองจะร้องไห้ออกมาอย่างไร ก็เหมือนว่าเขาไม่ได้ยินแล้วก็เดินจากไปเลย

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ หากเกิดขึ้นอีกครั้ง หานมู่จื่อไม่แน่ใจว่าเธอจะทนรับมันอีกได้หรือไม่

เธอส่ายหน้า เอ่ยเบาๆว่า“พี่ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่วู่ว่ามแบบเมื่อวานแล้ว”

ในเมื่อ เย่โม่เซินได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจึงทำให้ลืมเธอ นี่ก็นับว่า….ไม่ใช่ความผิดเขา

เขารอดชีวิตมาได้ ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว

หานมู่จื่อยิ้มอ่อนๆ พูดเสริมคำพูดตัวเองขึ้นมาว่า“ฉันคิดหาวิธีได้แล้ว”

หานชิงและซูจิ่ว“???”

“แต่ว่า……วิธีที่ฉันจะใช้นี้ต้องใช้เวลานาน และทำให้ฉันกลับประเทศไม่ได้ชั่วคราวค่ะ”

พูดจบ หานมู่จื่อมองไปยังหานชิง กัดริมฝีปากล่าง สีหน้าท่าทางสับสน

แต่ว่าหานชิงไม่มีท่าทีตกใจเลยสักนิด ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเธอจะใช้วิธีไหน เอ่ยเรียบๆว่า“ในเมื่อคนก็หาเจอแล้วต่อไปจะทำอะไร ขอแค่ไม่ทำร้ายตัวเอง พี่ก็ย่อมสนับสนุนน้องอย่างไร้เงื่อนไข สำหรับเรื่องที่จะกลับหรือไม่กลับนั้น หากว่าเธอไม่สามารถกลับไปได้ อย่างนั้นงานทางโน้นพี่ก็จะช่วยจัดการให้”

เดิมหานมู่จื่อคิดว่าเขาจะต้องแย้งความคิดของตน หรือไม่ก็ต้องซักถามอะไรวุ่นวาย แต่คิดไม่ถึงว่าแค่ตนเอ่ยปาก เขากลับเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

เธอดวงตาแดงก่ำ“พี่คะ”

เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่

เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่

เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ ถูกบังคับเป็นตัวแทนของงานแต่งงานนี้ เธอแต่งงานกับผู้ชายที่พิการแต่กลับมีอำนาจใหญ่ “ฉันเย่โม่เซินไม่เอาผู้หญิงที่ท้องและไม่รู้ว่าพ่อของลูกเป็นใครเด็ดขาด”เดิมทีคิดว่างานแต่งงานนี้เป็นการแลกเปลี่ยน แต่เธอกลับเผลอใจ ไปไปมามา สุดท้ายเธอก็จากไปด้วยความเสียใจผ่านไปหลายปี ลูกชายที่หน้าตาคล้ายกับเขามากตบหัวของเย่โม่เซินด้วยฝ่ามือเล็กๆ“พ่อคนร้าย นายว่าใครเป็นเด็กที่ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเป็นใคร?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset