บทที่752 เห็นเขาแล้วรีบวิ่งหนี
ในเวลาแบบนี้ หานมู่จื่อควรจะรีบเดินออกไป
เพราะถ้าถึงชั้นยี่สิบเอ็ด คนอื่นๆจะพากันเดินออกไป แล้วไม่มีใครยืนบังให้เธอได้อีก
หลัวลี่ทำตัวไม่ถูก สีหน้าของเธอน่าสงสารมาก
“เอ่อ คือว่า… พวกเราขอออกไปหน่อยได้ไหมคะ” เธอถาม
ทุกคนชะงักไปเล็กน้อย เฉียวจื้อหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ได้แน่นอนครับ จริงสิคนสวย คุณเป็นพนักงานของที่นี่ใช่ไหมครับ ขอช่องทางการติดต่อไว้ได้ไหมครับ”
เขาดูท่าทางเสเพล ไม่มีความจริงจังอะไรเลย สายตาที่มองหลัวลี่เหมือนหมาป่าที่กำลังหิวกระหาย
หลัวลี่ตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ฉัน…”
พอไม่มีใครเดินออกไป ประตูลิฟต์จึงทำท่าจะปิดลงอีกครั้ง หลัวลี่ตกใจมาก เธอก้มหน้าลงแล้วเดินตรงออกไป พอเดินไปได้ครึ่งทาง เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปมองทางหานมู่จื่อ
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากล่างไว้ กำลังลังเลว่าจะเดินออกไปยังไงดี
จะเดินออกไปตรงๆ หรือหลบซ่อนตัวรอจนถึงชั้นยี่สิบเอ็ดแล้วค่อยลงมาอีกที
ในขณะที่กำลังลังเล หลัวลี่ก็เรียกชื่อเธอออกมา “มู่จื่อ ไปกันเถอะ”
หานมู่จื่อ “???”
เธออุตส่าห์ซ่อนตัวอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกเปิดเผยง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ
และแล้ว ผู้ชายที่หานมู่จื่อยืนหลบอยู่ข้างหลังก็หันหน้ากลับมา ก่อนจะส่งยิ้มให้เธอ แล้วขยับตัวหลีกทางให้เธอ
หานมู่จื่อตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เดิมทีภายในลิฟต์มีผู้หญิงแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน เย่โม่เซินก็อารมณ์เสียมากอยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางหวาดกลัวมาก น่าจะไม่ใช่สายลับที่ลักลอบเข้ามาขโมยข้อมูลของบริษัท ดังนั้นเย่โม่เซินจึงไม่ใส่ใจอะไรมาก แต่นี่กลับมีอีกคนเพิ่มเข้ามาอีก
เย่โม่เซินมองตามสายตาของทุกคนไป
ยังไม่ทันมองหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน เงาร่างบางก็รีบเอากระเป๋าขึ้นมาปิดหน้า แล้ววิ่งออกไปซะก่อน เพราะรีบร้อนวิ่งออกไป และบังเอิญว่าเขายืนอยู่ตรงประตู ทำให้อีกฝ่ายวิ่งชนไหล่เขาโดยไม่ระวัง
กลิ่นหอมอ่อนๆที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยโชยเข้ามาในจมูกของเขา
เย่โม่เซินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองตามร่างบางที่วิ่งออกไปด้วยสายตาเยือกเย็น
เขาเห็นแค่เงาด้านหลัง เธอใส่ชุดกระโปรงสีขาว ผมยาวสลวยถึงเอว ตอนที่วิ่งผ่านหน้าผมบางสัมผัสโดนใบหน้าเขาเล็กน้อย
เย่โม่เซินจำเธอได้
เธอคือคนที่จับมือเขาตรงประตูวันนั้น บอกให้เขาอย่าดื้อ แล้วกลับบ้านกับเธอคนนั้น
“มู่จื่อ” หลัวลี่ได้สติกลับมา ก่อนจะรีบวิ่งตามออกไป
ไม่นานแผ่นหลังของทั้งสองคนก็หายไป
“โอ๊ะโอ” เฉียวจื้ออุทานออกมา ก่อนจะก้มลงไปเก็บพวงกุญแจที่ตกอยู่ข้างเท้าเย่โม่เซิน ก่อนจะควงไปมาจนเกิดเสียงกริ๊งกริ๊งออกมา
“ดูเหมือนจะเป็นของคุณผู้หญิงที่ใส่ชุดขาวทำตกไว้นะ”
เย่โม่เซินเหลือบมองเล็กน้อย
มันเป็นพวงกุญแจหนึ่งพวง
“เป็นพวงกุญแจนี่นา” เฉียวจื้อยิ้มอย่างตลกขบขัน “วิ่งหนีไปเร็วขนาดนี้ ไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่านะ อีกอย่างนายสังเกตเห็นไหม ดูเหมือนเธอจะไม่กล้ามองหน้านายด้วยนะ”
เย่โม่เซินเหลือบตามองเขาเล็กน้อย เฉียวจื้อรู้สึกเสียววาบบริเวณลำคอ ก่อนจะเบ้ปาก “เอาเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้พูด แต่พวงกุญแจนี่ ดูเหมือนจะสำคัญมาก เดี๋ยวประชุมเสร็จฉันจะเอาไปคืนเธอด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
เฉียวจื้อไม่มีงานอดิเรกอื่น นอกจากทำงานแล้ว ก็มีแต่สนใจสาวสวยเท่านั้น
เขาควงผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ในวงการจะรู้ชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่ยอมเข้าหาเขา ส่วนใหญ่จะเข้าหาด้วยความเต็มใจกันทั้งนั้น
ถ้าไม่เต็มใจ เฉียวจื้อก็ไม่บังคับจิตใจ
ที่เขาแสดงตัวแบบนี้ หรือว่าเขาจะสนใจผู้หญิงนิสัยแปลกๆคนนั้น
“เอามา”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมาในลิฟต์
เฉียวจื้อยังไม่รู้เลยว่าเป็นเสียงของใคร แต่กลับพบว่าตรงหน้าของตัวเองมีฝ่ามือใหญ่กำลังแบมือรออยู่
“?”
อะไรกัน
สายตาคมกริบของเย่โม่เซินมองมาที่เขา เฉียวจื้อถึงได้รู้ว่าคนที่พูดเมื่อตะกี้คือเย่โม่เซิน เขาหมุนพวงกุญแจในมือ แล้วพบว่ามันมีเสียงกริ๊งกริ๊งดังออกมา
“นายหมายความว่า นายจะเอาพวงกุญแจนี่ใช่ไหม”
เย่ฌม่เซินเม้มปาก แต่ไม่ได้ปฏิเสธออกไป
“what”เฉียวจื้อตกตะลึง สีหน้าเหยเกเหมือนกินของสกปรกมา “ปกตินายกลัวผู้หญิงมากไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ถึงขอพวงกุญแจจากฉันล่ะ ยู่ฉือเซิน หรือว่าข่าวลือที่ฉันได้ยินมาจะผิดพลาด”
พอพูดจบ เฉียวจื้อก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเย่โม่เซินเย็นยะเยือกขึ้นมาจนดูน่ากลัว
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่กล้ามีปัญหากับคุณชายที่ท่านยู่ฉือพยายามตามหาจนเจอคนนี้ จึงรีบยื่นพวงกุญแจให้ ก่อนจะบ่นพึมพำ “ช่างเถอะ กลัวนายแล้วจริงๆ ฉันให้นายก็ได้ ก็แค่พวงกุญแจไม่ใช่หรือไง ถ้าฉันอยากได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
แต่หลังจากยื่นพวงกุญแจให้แล้ว เฉียวจื้อก็ลูบคางตัวเองด้วยความเสียดาย
ตอนที่เห็นผู้หญิงสองคนนั้น เดิมทีเขานึกว่าจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวซะอีก แต่ตอนนี้… คงไม่มีโอกาสแล้ว
พอเห็นท่าทางของหลัวลี่ที่หวาดกลัวเขามาก เฉียวจื้อก็ยิ่งรู้สึกสนใจ
แต่ไม่เป็นไร ขอแค่พวกเธอยังทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ พวกเขาก็มีโอกาสจะได้เจอกันอีก
ติ๊ง
ประตูลิฟต์เปิดออก ถึงชั้นที่พวกเขาจะมาแล้ว หลังจากที่เย่โม่เซินเก็บพวงกุญแจแล้ว เขาก็ก้าวเดินออกไป คนที่อยู่ด้านหลังรีบเดินตามไปทันที
บุรุษหนึ่งในนั้นที่มีอายุมากกว่าทุกคน พอเห็นท่าทางของเย่โม่เซินก็ยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าเขาจงใจพูดหรือเปล่า แต่เขาพูดขึ้นมากะทันหัน
“ชั้นสิบห้า เป็นชั้นของฝ่ายบุคคลนี่ครับ”
เย่โม่เซินชะงักไปเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดขึ้นอีกครั้ง
ฝ่ายบุคคล
ผู้หญิงแปลกๆคนนั้น มาสัมภาษณ์งานที่นี่อย่างนั้นเหรอ
เธอคิดจะทำอะไรกันแน่
เขาจับพวงกุญแจไว้ในมือ พอนานเข้าจึงเริ่มอุ่นขึ้นตามอุณหภูมิร่างกายของเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เย่โม่เซินถึงได้นึกถึงตอนที่ดวงตาคู่สวยของเธอมีน้ำตาไหลออกมา
“…… ”
น่าแปลกจริงๆ
ทำไมเขาถึงจำผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งได้แบบนี้ หรือว่าจะเป็นเพราะว่าวิธีการที่เธอใช้เข้าหาเขาแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆกันนะ
แต่เฉียวจื้อกลับไม่รับรู้ถึงความหมายแฝงของผู้ชายคนที่พูด เขาเบ้ปาก ก่อนจะพูด “ฝ่ายบุคคล พวกเธอใจกล้าเกินไปหรือเปล่า ถึงได้กล้าใช้ลิฟต์ตัวนี้”
“ถ้าหากเป็นพนักงานของที่นี่คงไม่มีใครกล้าใช้ พวกเธอน่าจะมาสัมภาษณ์งาน ถึงไม่รู้เรื่องนี้”
“ที่พูดมามันก็ใช่”
“จริงสิ ผู้หญิงที่วิ่งออกไปเมื่อตะกี้ ถึงแม้ฉันจะไม่เห็นหน้าตาของเธอเต็มๆ แต่แค่เห็นใบหน้าด้านข้างก็ดูไม่เลวแล้วนะ น่าจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียว”
เพิ่งพูดจบ คนที่เดินอยู่หน้าสุดก็หยุดเดิน
ทุกคนพากันหยุดเดินตาม เย่โม่เซินหันหน้ากลับมา แล้วตวัดตามองไปที่ทุกคน
“พวกคุณว่างกันมากเหรอ”
ทุกคน “???”
เย่โม่เซิน “เดินตามผมมาทำไม”
เฉียวจื้อพูดไม่ออก เขานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดตอบ “เดี๋ยวนะ… นายบอกให้พวกเราตามนายมาไม่ใช่เหรอ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เย่โม่เซิน “…”
อย่างนั้นเหรอ
เขาลืมไปแล้ว
แต่ว่า ตอนนี้เขาไม่อยากเสียภาพพจน์ต่อหน้าคนอื่น จึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกคุณแยกย้ายกันไปได้แล้ว”
เฉียวจื้อ “คุณชายครับ คุณบรรลุเป้าหมายแล้วจะถีบคนอื่นทิ้งเร็วเกินไปหรือเปล่า”
“ช่างเถอะ ดูเหมือนตอนนี้เขาจะไม่มีอารมณ์คุย พวกเราไปกันเถอะ”
เฉียวจื้อทำสีหน้าหมดคำพูด ก่อนจะบ่นพึมพำ “นี่มันอะไรกัน ทำไมอารมณ์แปรปรวนกว่าพวกผู้หญิงที่เรารู้จักอีกล่ะเนี่ย”
สายตาที่เหมือนจะฆ่าคนได้มองมาที่พวกเขา ทำให้ทุกคนรีบเดินหนีอย่างหวาดกลัว