บทที่753 วิ่งตามเธอเหนื่อยมาก
ส่วนอีกด้าน
หานมู่จื่อที่ใช้กระเป๋าบังหน้าไว้ครึ่งหน้า พอเห็นว่าประตูลิฟต์เปิดออกก็วิ่งหนีไปทันที
ตอนที่วิ่งผ่านหน้าเย่โม่เซิน เธอชนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นหัวใจของเธอเต้นแรงมาก เหมือนวินาทีต่อไปจะถูกเย่โม่เซินสั่งให้หยุด หรือว่าจับเธอไว้ แต่สิ่งที่เธอคิดกลับไม่เกิดขึ้น
เธอหนีออกมาจากลิฟต์ได้อย่างปลอดภัย
พอวิ่งจนทิ้งระยะห่างแล้ว หนามู่จื่อก็หยุดวิ่ง ก่อนจะยืนหอบหายใจ
เมื่อตะกี้… เย่โม่เซินคงไม่ได้มองออกว่าเป็นเธอหรอกนะ
หวังว่าคงจะไม่รู้
“มู่จื่อ”หลัวลี่วิ่งตามหลังเธอมา ก่อนจะหยุดยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆเธอ “ทำไมถึงวิ่งเร็วอย่างนี้ล่ะ ฉันวิ่งตามจนเหนื่อยหมดแล้ว”
หลัวลี่เหรอ
หานมู่จื่อชะงักไปเล็กน้อย เมื่อตะกี้ตัวเองตกใจมาก จึงลืมเธอไปเลย
พอเห็นว่าเธอไม่มีท่าทางโมโหที่โดนทิ้งไว้ข้างหลัง หานมู่จื่อรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย “เธอจะวิ่งตามฉันมาทำไม”
เธอคิดว่า ตัวเองพูดกับหลัวลี่ชัดเจนไปแล้ว ว่าพวกเธอเป็นคู่แข่งกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่รวมกลุ่มกัน
หลัวลี่ยิ้มเอียงอาย “ก็เราเป็นคนจีนเหมือนกันนี่นา ฉัน… ไม่รู้จักใครที่นี่เลย ดังนั้น… พอเจอกับเธอก็เลยรู้สึกอบอุ่นใจ อยากจะอยู่ใกล้ๆเธอ”
หานมู่จื่อ “…”
เธอนิ่งคิด รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้มีความจริงใจมาก จึงพูดขึ้นมาว่า “เมื่อตะกี้ที่ฉันทิ้งเธอแล้ววิ่งหนีออกมาก่อน เธอไม่รู้สึกโกรธเลยเหรอ”
หลัวลี่อุทาน อ๊ะ ออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอคิดตามไม่ทัน
“เมื่อตะกี้… เธอทิ้งฉันไว้แล้ววิ่งหนีมาก่อนเหรอ พวกเรา…”เธอเอียงศีรษะ แล้วกระพริบตาปริบๆ “เราไม่ได้วิ่งออกมาพร้อมกันเหรอ”
สาวน้อย เธอไร้เดียงสาเกินไปหรือเปล่า ถึงได้คิดว่าพวกเราวิ่งหนีออกมาพร้อมกัน
ทั้งๆที่ฉันเป็นคนวิ่งออกมาก่อน
หานมู่จื่อส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะพูด “เธอระวังตัวไว้บ้างเถอะ”
พูดจบ เธอก็เดินตรงไปข้างหน้าทันที
หลัวลี่รีบเดินตามหลังเธอมาติดๆ เหมือนเงาตามตัว “เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้คิดร้ายกับฉัน แต่ว่า… เธอรู้จักคนคนนั้นเหรอ”
หานมู่จื่อ “คนไหน”
“ก็คุณชายยู่ฉือไง”
คุณชายยู่ฉือ คือใคร
เธอนิ่งงันไปสักพักถึงจะนึกขึ้นได้ ตอนนี้เย่โม่เซินเปลี่ยนนามสกุลเป็นยู่ฉือไปแล้ว เขาไม่ใช่เย่โม่เซินอีกต่อไปแล้ว แต่ชื่อยู่ฉือเซิน
“เธอไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ฉันก็แค่เห็นว่าเธอกลัวเขามาก ก็เลยรู้สึกแปลกใจ”
“อืม” หานมู่จื่อพยักหน้า
เธอกับอีกฝ่ายแค่คนรู้จักกัน จึงยังไม่มีความเชื่อใจในตัวอีกฝ่าย
ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนดีก็ดีไป แต่ถ้า… อีกฝ่ายไม่ใช่คนดีล่ะ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆอะไรมามากมาย ตอนนี้หานมู่จื่อไม่กล้าเชื่อใจใครเลย
“จุดนัดสัมภาษณ์งานอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากที่นี่แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“โอเค”
พอถึงจุดนัดสัมภาษณ์ คนที่มายืนรอสัมภาษณ์งานยืนรอกันเป็นจำนวนมาก
ถ้าเทียบกับตอนที่ยืนรอลิฟต์แล้ว มีเยอะกว่าหลายเท่าตัว
พอเห็นภาพตรงหน้า หานมู่จื่อก็ตะลึงจนตาค้างไปเลย
“คนเยอะขนาดนี้ ล้วนแต่มาสัมภาษณ์งานอย่างนั้นเหรอ”
พวกที่เจอตรงหน้าลิฟต์ เธอรู้สึกไม่แปลกใจ แต่พอมาเห็นคนยืนออกันเต็มทางเดิน หานมู่จื่อก็ตะลึงไปทันที
แต่ดูเหมือนหลัวลี่จะเคยชินกับสถานการณ์ตรงหน้าไปแล้ว เธอพยักหน้ารับ “ ใช่แล้วล่ะ ฉันเห็นคนพูดกันในกลุ่ม เดิมทีงานผู้ช่วยเลขาไม่ค่อยมีคนอยากจะทำเท่าไหร่ เพราะงานผู้ช่วยของเลขา เป็นงานที่ลำบากแต่ไม่ได้ความดีความชอบ แต่หลังจากที่คุณท่านยู่ฉือยกตำแหน่งประธานบริษัทให้คุณชายยู่ฉือแล้ว มันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป… ในแต่ละวันมีคนมาสมัครเป็นผู้ช่วยของเลขาเยอะมาก”
พอได้ยินถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็เข้าใจทันที ว่าทำไมหลัวลี่ถึงไม่คิดว่าเธอเป็นคู่แข่ง เพราะในสายตาของเธอ… ตัวเองอาจจะไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ
คนที่มาสมัครงานมีเยอะขนาดนี้ อยากได้คนแบบไหนมาทำงานก็ได้
จะขาดคนอย่างเธอไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่แน่ วันนี้เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมภาษณ์งานด้วยซ้ำ
หานมู่จื่อรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่ามันแตกต่างจากที่เธอคิดไว้มากถึงขนาดนี้
คิดวางแผนง่าย แต่ทำจริงๆงั้นมามันยากมากจริงๆด้วย
“แต่ว่า…”หลัวลี่หยุดพูดไปกลางคัน ก่อนที่สีหน้าของเธอจะลำบากใจ “ถึงแม้ว่าจะมีคนมาสัมภาษณ์งานเยอะทุกวัน แต่ก็ไม่มีใครได้รับตำแหน่งนี้ นี่มันก็นานมากแล้ว แต่ก็ยังหาคนที่พอใจไม่ได้สักที”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ
ตำแหน่งผู้ช่วยเลขามีคนจ้องเยอะมาก อีกทั้ง… คนส่วนใหญ่ก็พุ่งเป้าหมายไปที่เย่โม่เซิน จึงต้องเลือกดีๆ
พอคิดว่าตอนนี้เย่โม่เซินมีผู้หญิงจ้องจะครอบครองเยอะถึงขนาดนี้ หานมู่จื่อก็รู้สึกไม่ชอบใจมาก
ทั้งๆที่… เขาเป็นของเธอคนเดียวแท้ๆ
แต่ตอนนี้เขากลับจำเธอไม่ได้ แล้วยังมีผู้หญิงที่คิดจะจับเขาเยอะถึงขนาดนี้…
ยิ่งคิดยิ่งโมโห หานมู่จื่อรู้สึกว่าไม่ว่ายังไง วันนี้เธอจะต้องผ่านการสัมภาษณ์งานครั้งนี้ และคว้างานผู้ช่วยเลขานี้ไว้ให้ได้
ไม่อย่างนั้น จะต้องมีคนอื่นแย่งไปก่อนแน่ๆ
โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลย ว่าพวงกุญแจของเธอตกอยู่ในมือของเย่โม่เซินแล้ว
คนที่มาสมัครงานมีเยอะมาก เดิมทีหานมู่จื่อนึกว่าจะต้องนั่งรอสัมภาษณ์อีกนาน เพราะเธอมาสาย ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะถึงคิวหมายเลขของเธอ
แต่คิดไม่ถึงว่า คนที่มารอสัมภาษณ์งานเยอะ แต่พอเข้าไปในห้องสัมภาษณ์งานไม่ถึงสองนาทีก็ออกมาแล้ว
หานมู่จื่อกับหลัวลี่นั่งรอยู่ด้านข้าง พอเห็นแบบนี้ก็ประหลาดใจกันมาก
“หรือว่าพวกเธอจะสัมภาษณ์งานกันเร็วมากกันนะ เธออย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวพวกเราก็คงไม่ต่างกัน”
หานมู่จื่อ “…”
สัมภาษณ์งานไม่ถึงสองนาที จะได้อะไรล่ะ
หานมู่จื่อเข้าใจทันที ว่าทำไมถึงหาคนมาทำงานตำแหน่งผู้ช่วยเลขาไม่ได้สักที
ไม่นาน ผู้คนที่ยืนรอตรงทางเดินก็น้อยลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มีเก้าอี้ว่าง หานมู่จื่อที่ยืนอยู่นาน ในที่สุดก็มีที่นั่งสักที เธอกับหลัวลี่นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
รู้สึกว่าพอพวกผู้หญิงที่มาสัมภาษณ์งานกลับไปแล้ว อากาศรอบตัวก็บริสุทธิ์ขึ้นมาก
ไม่ใช่ว่าเธอแพ้กลิ่นน้ำหอมหรอก แต่เป็นเพราะว่าสภาพร่างกายของเธอตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน และคนก็เยอะมาก กลิ่นจึงผสมปนเปกันไปหมด
ไม่ว่ากลิ่นน้ำหอมจะหอมมากแค่ไหน แต่ถ้าเอามารวมกันกลิ่นมันก็แปลกๆอยู่ดี
เธอนั่งได้ไม่ถึงสิบนาที หลัวลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆก็ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์งาน
หานมู่จื่อก้มลงมองเวลา รอจนหลัวลี่เดินออกมา ใช้เวลาหนึ่งนาทีพอดี
คนพวกนี้… ทำไมถึงได้สัมภาษณ์งานเร็วถึงขนาดนี้นะ
หลังจากที่หลัวลี่เดินออกมา สีหน้าของเธอก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หานมู่จื่อเองก็ไม่กล้าถามออกไปตรงๆ
และในเวลานี้เอง เธอก็ถูกเรียกเข้าห้องสัมภาษณ์พอดี
หานมู่จื่อสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องสัมภาษณ์
พอเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นว่ามีกรรมการสัมภาษณ์นั่งรออยู่ข้างในห้องหลายคน หลังจากเข้าไปในห้อง หานมู่จื่อก็พูดแนะนําตัวก่อนเป็นอันดับแรก “สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อหานมู่จื่อค่ะ”
คณะกรรมการที่เป็นชายวัยกลางคนข้างซ้ายมือหยิบเรซูเม่ของเธอขึ้นมาดู ก่อนที่สายตาของเขาจะดูสนใจขึ้นมา
“ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้คุณเป็นนักออกแบบมาก่อน”
หานมู่จื่อพยักหน้า
หญิงสาวใส่ชุดสูทที่นั่งด้านข้างยิ้มเยาะ “แปลกจริงๆ ช่วงนี้บริษัทของเราเป็นอะไรไป ทำไมคนที่มาสมัครงานถึงมีแต่พวกผู้หญิงที่แต่งตัวยั่วยวน แม้แต่นักออกแบบ ก็ยังกล้ามาสัมภาษณ์งานที่นี่”