บทที่756 ผมยังไม่น่าสนใจเท่าบริษัทอย่างนั้นเหรอ
หลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ หานมู่จื่อจึงหยุดพูด ก่อนจะปล่อยมือลงอย่างไม่สบอารมณ์
“เรื่องในวันนั้น… ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันจำผิดคนจริงๆ คุณเชื่อฉันเถอะนะคะ ฉันไม่ได้คิดจะล่อลวงคุณแน่นอน ที่ฉันมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยเลขา เพราะฉันอยากเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้จริงๆ ดังนั้น… ก็เลยอยากมาเรียนรู้งานที่นี่”
“อ๋อ”เย่โม่เซินอุทานออกมา “คุณหมายความว่า ผมยังไม่น่าสนใจเท่าบริษัทอย่างนั้นเหรอ”
หานมู่จื่อ “? “
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันก็แค่…”
นี่เป็นครั้งแรก ที่หานมู่จื่อร้อนรนทำตัวไม่ถูกต่อหน้าเย่โม่เซิน พอร้อนใจ คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากันจนยุ่งไปหมด ดวงตาที่สงบนิ่งเต็มไปด้วยความร้อนใจ
มือไม่อยู่ไม่สุข จนเย่โม่เซินยิ้มออกมา
คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงแปลกๆคนนี้… จะน่าแกล้งถึงขนาดนี้
ไม่ใช่สิ
นี่เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เย่โม่เซินรีบตั้งสติ ก่อนจะหรี่ตามองไปที่ผู้หญิงอันตรายตรงหน้า
ก็แค่แววตาบริสุทธิ์อยู่บ้าง การกระทำแปลกไปบ้าง ทำไมเขาจะต้องเสียเวลาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ที่นี่ด้วย
“ยื่นมือออกมา”
หานมู่จื่อมีสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมคะ”
เย่โม่เซินพูดอย่างอารมณ์เสีย “บอกให้ยื่นมือออกมาก็ยื่นมือออกมา ไม่ต้องพูดมาก”
หานมู่จื่อจนใจ จึงยื่นมือออกไป
แปะ
เขาวางพวงกุญแจลงบนฝ่ามือของเธอ หานมู่จื่อชะงักไปเล็กน้อย พอเห็นพวงกุญแจในมือ เธอถึงได้มองออกว่าเป็นพวงกุญแจของเธอเอง
ทำไมพวงกุญแจนี้ ถึงไม่อยู่ที่เขาได้ หรือว่าเธอทำหล่นไว้ก่อนหน้านี้
แต่ว่าทำไมเย้โม่เซินถึงต้องเอาพวงกุญแจที่ตกลงบนพื้นของเธอมาคืนให้เธอเองแบบนี้ล่ะ
พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นเต้น แววตาของเธอเต็มไปด้วยความดีใจ “ที่คุณมายืนรอฉันอยู่ที่นี่ ก็เพราะจะเอาพวงกุญแจมาคืนฉันเหรอคะ”
เย่โม่เซิน “… ใครบอกว่าผมอยู่รอคุณที่นี่”
หานมู่จื่อ “ไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมตอนที่ฉันเดินมาที่นี่คุณก็อยู่ที่นี่พอดีคะ”
“เหอะ” เย่โม่เซินยิ้มเยาะ ก่อนจะพูดเยาะเย้ย “ผมก็แค่อยากจะมาดู ว่าผู้หญิงอย่างคุณยังมีแผนการอะไรอีก แต่ดูเหมือนว่า คุณจะไม่ใช่แค่แผนการเยอะ แต่คิดอะไรไปเองก็เก่งมากด้วย”
คำพูดนี้ของเขา ทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมา…
ในตอนนั้นเธอเพิ่งแต่งงานเข้าตระกูลเย่ ตอนที่เย่โม่เซินรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่หย่าร้างมา และมาแต่งงานแทนคนอื่น การกระทําของเขาก็โหดร้ายเหมือนตอนนี้ไม่มีผิด
ท่าทางของเย่โม่เซินในตอนนี้ เกิดขึ้นซ้ำกับเมื่อห้าปีก่อนเลย
เธอถึงได้รู้ ที่แท้… ถึงจะผ่านไปห้าปีก่อนแล้ว แต่เย่โม่เซินก็คือเย่โม่เซิน นิสัยที่แท้จริงของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ว่า… ต่อมาเขาได้เปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอ
พอคิดได้แบบนี้ หานมู่จื่อก็มองไปทางเขาอย่างทอดถอนใจ
เพราะทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นเย่โม่เซินจึงเห็นความรู้สึกที่อยู่ในแววตาของเธอ ตอนนี้เธอมองมาที่เขาด้วยสีหน้าปลงตก ก่อนแรกเขานึกว่าเธอจะซาบซึ้งใจเรื่องพวงกุญแจ แล้วคิดไปเองว่าเขาอยู่รอเธอที่นี่เพื่อจะคืนพวงกุญแจให้เธอ สีหน้าของเขาจึงเย็นชาขึ้นมา น้ำเสียงที่พูดเริ่มไม่พอใจ
“ผมขอเตือนให้คุณหยุดคิดเรื่องพวกนั้นไปซะ ในเมื่อได้กุญแจไปแล้ว คุณก็รีบออกไปเดี๋ยวนี้”
พอพูดจบ เย่โม่เซินก็หันหลังกลับ แล้วเดินจากไปทันที
หานมู่จื่อยืนอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังของเขาตอนเดินจากไป ก่อนจะก้มลงมองพวงกุญแจในมือช้าๆ
พวงกุญแจคงจะถูกเขาถือไว้นานมากแล้ว มันเลยยังหลงเหลือความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาอยู่ อบอุ่นมากเลย…
หานมู่จื่อก้มหน้าลง แล้วยกพวงกุญแจมาแนบแก้ม
ดีจริงๆ
ความอบอุ่นของเขา… เป็นความรู้สึกจริงๆ
ข่าวของเย่โม่เซินที่ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลยู่ฉือ ยังไม่ถูกปล่อยข่าวในประเทศ
แต่เรื่องที่หานมู่จื่อลาหยุดทำให้คนในบริษัทต่างตกใจกันมาก ตั้งแต่ที่เธอรับหน้าที่รองประธานบริษัททำงานแทนเย่โม่เซิน เธอก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องงานต่างๆในบริษัท รวมถึงโครงการที่ถูกยกเลิกเพราะข่าวอุบัติเหตุของเย่โม่เซิน เธอต้องทำงานจนดึกดื่นทุกวัน
ไม่มีวันไหนที่มาสาย เธอมักจะมาถึงบริษัทก่อนใครๆ
แต่ตอนนี้ เธอกลับลาหยุดไปแบบนี้
ทุกคนประหลาดใจกันมาก และพากันคาดเดาไปต่างๆนาๆ
หานชิงกับซูจิ่วปิดความลับไว้อย่างดี ไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ บอกแค่ว่าเธอทำงานติดต่อกันหนึ่งเดือนกว่าๆ และเพราะไม่มีข่าวคราวของเย่โม่เซิน ทำให้เธอร้อนใจ จนสุขภาพร่างกายรับไม่ไหว ต้องใช้เวลาในการพักผ่อนให้มาก
ทุกคนคิดในใจ ช่วงนี้เธอทุ่มเทให้กับบริษัทมากจริงๆ ตั้งแต่ที่เย่โม่เซินหายตัวไป เธอที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวกลับต้องมาดูแลจัดการเรื่องทั้งหมดแบบนี้ จำเป็นต้องพักผ่อนบ้างแล้วจริงๆ
ส่วนวันเวลาในการกลับมาทำงานนั้น ยังไม่แน่นอน
ทุกคนต่างพากันอุทานออกมาอีกครั้ง
แต่คนที่รู้ความจริงมีแค่คนเดียว นั่นก็คือคนที่คอยอยู่ช่วยงานหานมู่จื่อมาตลอดอย่างตาเฉิน
ตอนที่เธอเข้ามาในบริษัท ตาเฉินก็ยืนสนับสนุนช่วยเหลือเธอมาตลอด และยังช่วยให้หานมู่จื่อผ่านอุปสรรคไปได้ตั้งหลายอย่าง ดังนั้น หานชิงกับซูจิ่วจึงติดต่อหาเขาเป็นคนแรก แล้วบอกเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง
ตอนที่ตาเฉินรู้เรื่องที่เย่โม่เซินยังมีชีวิตอยู่ ก็เกือบจะร้องไห้ออกมา เขาลูบหนวดเคราของตัวเอง แล้วพูดเสียงเข้ม “ผมรู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นดวงแข็ง เมื่อก่อนเขามักจะยั่วโมโหผม จะตายง่ายๆได้ยังไงกัน เฮ้อ มู่จื่อเด็กคนนี้โชคดี ที่รอคอยจนได้เจอ แล้ว… โม่เซินเด็กคนนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ในเมื่อหาเจอแล้ว ทำไมไม่พากลับมาด้วยครับ”
ซูจิ่วพูดยิ้มๆ “ลุงเฉิน เรื่องนี้อธิบายยากค่ะ แต่แค่เรารู้ว่าคุณชายเย่มีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆมันซับซ้อนมาก ดูเหมือนว่า… คุณชายเย่จะความจำเสื่อม จำเรื่องราวอะไรไม่ได้แล้วค่ะ”
ตาเฉินเบิกตาโต “คุณว่ายังไงนะ เจ้าเด็กบ้านั่นความจำเสื่อมอย่างนั้นเหรอครับ”
เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ตาเฉินจึงรีบพูด “งั้นยัยหนูมู่จื่อก็…”
“อืม” ซูจิ่วพยักหน้า “คุณหนูมู่จื่ออยู่ที่นั่นต่อ ยังไม่แน่ใจว่าจะพาคุณชายเย่กลับมาได้เมื่อไหร่ ก่อนที่เธอจะพาคุณชายเย่กลับมาได้ เรื่องราวในบริษัทคงต้องขอให้ลุงเฉินช่วยดูแลไว้ก่อนค่ะ”
พอพูดจบ ตาเฉินก็ยืดอกอย่างมาดมั่น แล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้คุณวางใจได้ครับ ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ช่วงนี้ผมจะช่วยดูแลบริษัทไว้อย่างดี ไม่ให้เจ้าพวกไม่หวังดีสมหวังแน่นอน”
ท่าทางของเขา เกือบจะทำให้ซูจิ่วหัวเราะออกมา
“ลุงเฉินคะ คุณตลกมากเลยค่ะ”
หานชิงเองก็กลั้นยิ้มไว้ ก่อนจะพูด “มิน่าล่ะ มู่จื่อถึงได้ชอบกล่าวชมลุงเฉินต่อหน้าพี่ชายอย่างผมบ่อยๆ เรื่องในครั้งนี้… มู่จื่อได้บอกพวกผมล่วงหน้าไว้แล้ว และในบริษัทก็บอกลุงเฉินไว้แค่คนเดียว”
พอตาเฉินได้ยินว่ามีแค่เขาที่รู้เรื่องของเย่โม่เซิน จึงยิ่งมาดมั่น และเกือบจะร้องไห้ออกมา “คุณวางใจได้ครับ จากนี้ไปถ้ายัยหนูมู่จื่อยังอยู่ในบริษัท ผมก็จะไม่มีทางทำให้เธอผิดหวังที่เชื่อใจผม เฮ้อ มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกตอนที่ถูกคนเชื่อใจและไว้วางใจมันดีจริงๆ”
เมื่อก่อนตอนที่เย่โม่เซินเป็นผู้นำ ถึงแม้ว่าเขาจะชอบโต้เถียงกับตนเอง แต่ว่า… ส่วนใหญ่เขาก็จะฟังความคิดเห็นของตนเองเสมอ
ตอนนี้สองสามีภรรยาล้วนแต่ไว้วางใจในตัวเขา เขารู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ